‘สมศักดิ์’ เผย ‘ดิไอคอนกรุ๊ป’ มี 6 คดีในชั้นศาล ประเด็นโฆษณา-ฉลากไม่ถูกต้อง มองอาจเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ ‘ทวี’ มอบดีเอสไอตามทรัพย์สิน เผยอาจจะคืนเงินผู้เสียหายได้มากกว่า 700 ล้านบาท ชี้ทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นถาวรวัตถุ
วันที่ 15 ตุลาคม 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในเครือบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ว่าก่อนหน้านี้ทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ทำหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้อาจจะเกิดความคลาดเคลื่อน ซึ่งพบว่าอาจจะมีการฝ่าฝืนมาตรา 40 และ 41 ในเรื่องการโฆษณาและการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง รวม 5 คดี
สมศักดิ์ เทพสุทิน
ส่วนการดำเนินการฝ่าฝืน พ.ร.บ.อาหาร ปี 2552 ซึ่งโทษปรับ เป็นการปรับไปหมดแล้วเป็นที่เรียบร้อย ส่วนโทษอาญามีอยู่อีก 1 คดี โดยขณะนี้อยู่ในชั้นศาล พร้อมยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหาในเรื่องของตัวสินค้า จะมีปัญหาเรื่องฉลากสินค้าที่เขียนเกินความจริง ซึ่งทุกอย่างดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยไปหมดแล้ว
ทั้งนี้มองว่าการดำเนินธุรกิจของบริษัทดังกล่าวไม่ได้มีปัญหา แต่มีปัญหาในเรื่องการหาสมาชิก มีการจ่ายเงินค่าสมาชิก ซึ่งอาจจะเข้าข่ายลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยจะเกี่ยวข้องกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เนื่องจากมีผู้เสียหายเกิน 300 คนขึ้นไป และมูลค่าความเสียหายเกินกว่า 100 ล้านบาท ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรต้องติดตามดู
ขณะที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีคดีบริษัทดังกล่าว กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ว่าขณะนี้ตำรวจดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชน แต่ยังไม่ได้กระทำความผิด ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงิน หรือแชร์ลูกโซ่ ซึ่งจะมีความแตกต่างกัน ที่หวังเอาผู้สมัครสมาชิกมาเอาเงิน สินค้ามีบ้างหรือไม่มีบ้าง แต่ในคดีฉ้อโกงประชาชน เป็นอำนาจหน้าที่ของตำรวจ แต่ถ้าหากเป็นคดีแชร์ลูกโซ่ก็จะมีเกณฑ์
ทั้งนี้ ต้องขอชื่นชมตำรวจที่ทำคดีได้เร็ว พร้อมเป็นห่วงเรื่องการสอบสวน ซึ่งสามารถที่จะนำมาเป็นคดีพิเศษได้ แต่ขอให้ตำรวจได้ทำงาน เพราะทราบว่าขณะนี้ใช้พนักงานสืบสวนในการทำคดีนี้กว่า 50 นาย ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพพอ แต่ในคดีลักษณะนี้เราจะเอาทรัพย์สินมาคืนให้ผู้เสียหาย โดยทางดีเอสไอได้สั่งการให้ดูเกี่ยวกับเรื่องการฟอกเงินอยู่แล้ว หากจำนวนเงินเกินกว่า 800 ล้านบาท จะมีการตรวจสอบเส้นทางการเงิน
และถ้าหากหลักฐานเป็นประโยชน์ก็จะส่งให้เป็นคดีพิเศษ เช่น การเอาอัยการมาร่วมสอบสวน ซึ่งจะเข้าถึงข้อมูลได้ แต่ขณะนี้เราต้องการช่วยเหลือประชาชน ในการดำเนินการทางแพ่ง โดยฟ้องคดีเป็นกลุ่ม หรือคดีคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อติดตามทรัพย์สินมาคืนผู้เสียหาย
อย่างไรก็ตาม ได้มอบให้ทางดีเอสไอ เป็นผู้ติดตามทรัพย์สินมาคืนให้กับผู้เสียหาย โดยเบื้องต้นทราบว่า ทรัพย์สินอยู่ในถาวรวัตถุ ซึ่งอาจจะขอคืนเงินได้ มากกว่า 700 ล้านบาท แต่ในรายละเอียดต้องสอบถามทางตำรวจ
ส่วนที่ผู้เสียหายมีความกังวลว่า ผู้เกี่ยวข้องกับบริษัทมีทั้งอัยการและตำรวจ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดในทุกคดี ความเชื่อมั่นของประชาชนคือคนทำงานต้องไม่อคติ อคติเพราะความชอบ อคติเพราะความผูกพัน ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลนี้พยายามยกระดับไม่อคติกับทุกเรื่อง เราจะให้พยานหลักฐานเป็นผู้พูด

ข้อมูล/ภาพ : ประชาชาติ