นักวิชาการ ชี้ ‘อิ๊งค์’ คะแนนนำ ‘เท้ง’ เพราะภาพเป็นเบอร์หนึ่งชัดเจน ไม่ต้องเทให้ ‘เศรษฐา’ ขณะที่พิธา หลุดเวที แจกเงินหมื่น
เมื่อวันที่ 29 กันยายน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชษฐา ทรัพย์เย็น ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช วิเคราะห์ เหตุอิ๊งค์คะแนนนำเท้ง ว่า “แกะรหัสโพลนิด้าที่ซ่อนอยู่ 12 ประการที่มีต่อนัยยะทางการเมืองไทย”
1.การที่นายกฯเศรษฐาหลุดเวทีการเมือง ทำให้คะแนนเพื่อไทยไม่กระจาย ทั้งก้อนจึงเทมาที่นายกฯอิ๊งค์คนเดียว
2.ภาพตัวนายกฯอิ๊งค์ในการเป็นตัวจริงทางการเมือง (ปัจจุบัน) กับภาพข้างหลัง (สมัยนายกฯเศรษฐาเป็นเบอร์หนึ่ง) ทำให้คะแนนนายกฯอิ๊งค์ขึ้นแบบก้าวกระโดด เพราะภาพลักษณ์การเป็นผู้นำทางการเมืองเบอร์หนึ่งชัดเจน คนจึงแสดงออกในความชัดเจนผ่านการเทคะแนนนิยมให้
Advertisement
3.การที่คุณพิธาหลุดเวทีการเมือง ส่วนหนึ่งของคะแนนสนับสนุนคุณพิธามีแนวโน้มย้ายมาที่นายกฯอิ๊งค์ เพราะหัวหน้าเท้งไม่สามารถช้อนคะแนนแม่ยกคุณพิธามาได้หมดกระดาน ฐานคนกลุ่มนี้ที่หลุดไปน่าจะมีลำดับความชอบในใจ เช่น คุณพิธา นายกฯอิ๊งค์ คุณเท้ง ฯ ดังนั้น พอไม่มีคุณพิธา ส่วนหนึ่งเลยสวิงกลับมาที่นายกฯอิ๊งค์ เพราะอย่าลืมว่าครั้งหนึ่งคะแนนก้อนที่สนับสนุนเพื่อไทยและก้าวไกลคือก้อนฝั่งประชาธิปไตยก้อนเดียวกันในช่วงเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว เมื่อไม่มีคุณพิธา คะแนนไม่ไหลไปตามพรรคประชาชนถึงหัวหน้าเท้ง
4.กระแสแจกเงินสดหนึ่งหมื่นบาทว่าได้แน่นอน ส่งผลยกระดับฐานนิยมในตัวนายกฯอิ๊งค์และพรรคเพื่อไทย เพราะกลุ่มคนที่มีฐานเงินเดือนต่ำกว่าสองหมื่นบาทจากกลุ่มตัวอย่างมีถึง 72 % ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายนี้ (แบ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 21.00 ไม่มีรายได้ , ร้อยละ 19.40 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท และร้อยละ 31.70 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท)
5.คะแนนนิยมตัวนายกฯอิ๊งค์มากกว่าตัวพรรคเพื่อไทย ราว ๆ 4% ถือว่าไม่ห่างกัน แสดงว่าคะแนนนิยมในตัวพรรคกับตัวบุคคลมีลักษณะเป็นก้อนเดียวกัน เมื่อเทียบกับผลโพลครั้งก่อน ๆ บ่งชี้ได้ว่าการขึ้นมาเป็นตัวจริงของนายกฯอิ๊งค์เพียงคนเดียวในนามพรรคเพื่อไทย ทำให้คะแนนฐานนิยมก้อนนี้กลับมาเข้าที่เข้าทางสอดรับกันในทิศทางเดียว ระหว่างคะแนนนิยมในตัวพรรคและคะแนนนิยมในตัวบุคคล
6.คะแนนนิยมตัวพรรคประชาชน มีมากกว่าตัวหัวหน้าเท้ง ราว ๆ ร้อยละ 11 ทำให้ต้องเกิดแคมเปญ “เท้งทั่วไทย” แคมเปญชื่อนี้ชัดเจนว่าต้องการสร้างความนิยมในตัวบุคคลคือคุณเท้ง แต่คะแนนนิยมในตัวคุณเท้งที่ปรากฏออกมาในนิด้าโพลครั้งนี้ก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นเหมือนกันว่าถ้าเป็นคุณไหม (ศิริกัญญา) เป็นหัวหน้าพรรค จะมีกระแสนิยมมากกว่านี้หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้คุณไหมเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้นำสามคนคือคุณพิธา-คุณชัยธวัช-คุณไหม ในสังคมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
7.คะแนนส่วนของ “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้“ เพิ่มเพียงราว ๆ 3 % และ “ยังหาพรรคที่เหมาะสมไม่ได้” ค่อนข้างคงที่ แสดงว่า คนกลุ่มนี้มีความชัดเจนทางความคิดว่าต้องการทางเลือกใหม่หรือรูปแบบใหม่ ๆ ทางการเมือง เป็นช่องว่างที่ทำให้เกิดพรรคการเมืองใหม่ที่จะมาหยิบฉวยคะแนนก้อนนี้ไปครอบครองได้
8.ผลโพลที่ออกมาสามารถอนุมานได้ว่าคะแนนส่วนเพิ่มในตัวนายกฯอิ๊งค์ มีเงาคะแนนคุณทักษิณในนั้น เพราะดูเสมือนว่านายกฯ ที่นามสกุลชินวัตรสามารถดึงฐานคะแนนความนิยมกลับคืนมาในตัวนายกรัฐมนตรีได้พอสมควร นั่นหมายความว่าเดิมทีต้องมีคะแนนความนิยมในส่วนนี้อยู่แล้ว ต่อมาหายไป และสามารถกลับคืนมาได้ในเวลาอันรวดเร็วภายใต้แบรนด์ชินวัตรเดียวกัน
9.คะแนนนิยมในตัวนายกฯอิ๊งค์นำคุณเท้ง ประมาณ 8 % ในทางสถิติตัวบุคคลถือว่าห่างพอสมควร ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ถ้าเป็นชื่อคุณพิธาจะไม่เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ ส่งนัยยะว่าการที่ลบชื่อพรรคก้าวไกลและหัวหน้าพรรคคนเดิมออกไปจากการเมืองไทยได้ ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมากพอสมควรอย่างที่เห็นในผลโพลรอบนี้
10.คะแนนนิยมในตัวพรรคประชาชน ร้อยละ 34.25 นำพรรคเพื่อไทยที่มีร้อยละ 27.15 เพียง 7 % ถือว่ามีระยะห่างน้อยที่สุดในรอบหนึ่งปีครึ่ง จึงนับได้ว่าเป็นความอันตรายของพรรคประชาชน เนื่องจากอัตราเร่งการทวงคะแนนกลับคืนของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ ใช้ระยะเวลาน้อยในการลดช่องว่างเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังได้นายกฯคนใหม่ พรรคประชาชนต้องถอดสลักช่องว่างของคะแนนตรงนี้ให้ได้ หากหวังจะชนะเลือกตั้งในอีกสามปีข้างหน้า
11.คุณพีระพันธุ์แข็งแกร่งขึ้นฝั่งอนุรักษ์นิยม เป็นนัมเบอร์วันฝั่งขวาทางการเมือง คะแนนเพิ่มเกือบ 2 % ซึ่งฐานเสียงของฝั่งอนุรักษ์นิยมก่อนหน้านี้ถือว่าเป็นก้อนที่ไม่ใหญ่ ดังนั้นการได้รับความนิยมเพิ่มเกือบร้อยละ 2 จากก้อนที่ไม่ใหญ่ จึงถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงเชิงเปรียบเทียบ
12.มาเจาะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ พบว่า คะแนนตัวบุคคล คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ได้รับร้อยละ 8.65 ส่วนคะแนนตัวพรรค ได้รับร้อยละ 9.95 ระยะห่างกันเพียง 1 % กว่า ๆ ถือว่าคะแนนนิยมพรรคกับบุคคลเป็นก้อนเดียวกัน แทบไม่มีช่องว่างอีก จึงน่าคิดว่าจะขยายมากกว่านี้ได้อีกหรือไม่
ข้อมูล/ภาพ : มติชน