เศรษฐกิจไทย เผาจริงหรือเผาหลอกกันแน่

สถานการณ์เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนและความผันผวนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามการค้าหลังจากสหรัฐประกาศเพิ่มการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้า สถานการณ์เช่นนี้ได้สร้างความเสี่ยงทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี, ภาวะเศรษฐกิจถดถอย, การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ, และวิกฤติสุขภาพโลก ท่ามกลางมรสุมความท้าทายเหล่านี้ เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในสภาวะที่หลายฝ่ายจับตามองอย่างใกล้ชิด คำถามที่ดังขึ้นในหมู่สาธารณชนและนักวิเคราะห์คือ สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้คือ “ไฟจริง” ที่จะสร้างความเสียหายรุนแรงและยืดเยื้อ หรือเป็นเพียง “ไฟหลอก” ที่แม้จะดูน่ากังวล แต่โครงสร้างพื้นฐานและนโยบายที่เตรียมไว้จะสามารถควบคุมและผ่านพ้นไปได้? บทความนี้จะพาไปสำรวจมุมมองจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อหาคำตอบว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผาจริงหรือเผาหลอกกันแน่

บทบาทของกระทรวงการคลังและนโยบายที่วางไว้: แผนดับไฟที่อาจยังไม่ถึงเชื้อ

ในยามวิกฤติ กระทรวงการคลังถือเป็นกลไกหลักที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและสร้างความมั่นคงให้กับระบบเศรษฐกิจไทย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวถึงหัวใจหลักของการแก้ปัญหาประเทศคือ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อนำมาซึ่งความมั่งคั่งทางการเงินทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ และเพิ่มฐานการจัดเก็บภาษี ลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อขนาดเศรษฐกิจ

เพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในอนาคต กระทรวงการคลังได้วางแนวทางการเตรียมความพร้อมไว้ 6 ปัจจัยหลัก:

1. การส่งเสริมระบบภาษีที่เป็นธรรมและยั่งยืน: มุ่งปฏิรูประบบภาษีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ เป็นแหล่งเงินทุนสำคัญในการพัฒนาประเทศและลดความเหลื่อมล้ำ ปัจจุบันกำลังศึกษาภาษีเงินได้ติดลบ (NIT) ควบคู่กับการปรับปรุงสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย.

2. การบริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ: ควบคุมระดับหนี้สาธารณะให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืน ผ่านการพิจารณาดุลยภาพระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและการรักษาวินัยทางการคลัง รวมถึงการระดมทุนผ่านตราสารหนี้เพื่อสนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว ทั้งนี้ ภาคเอกชนได้เสนอให้เพิ่มเพดานหนี้สาธารณะจากระดับไม่เกิน 70% ของจีดีพี เพื่อรองรับความเสี่ยงและแก้ปัญหาเศรษฐกิจระยะยาว.

3. การเสริมสร้างความสามารถและประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ของรัฐ: เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีและปรับโครงสร้างภาษีให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง (เช่น เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ, เศรษฐกิจดิจิทัล) เพื่อให้มีฐานรายได้มั่นคงรองรับสังคมผู้สูงอายุ.

4. การบริหารความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการเงิน: สร้างระบบประกันภัยทางเศรษฐกิจ (ผ่าน คปภ.) เพื่อคุ้มครองผู้ประกอบการและประชาชนในกรณีเกิดภัยพิบัติหรือวิกฤติทางการเงิน รวมถึงสนับสนุนการออมระยะยาวผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและมาตรการลดหย่อนภาษี.

5. สนับสนุนมาตรการในการพัฒนาศักยภาพ เทคโนโลยี และทักษะแรงงาน: จัดสรรงบประมาณสนับสนุนการพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับตลาดในยุคดิจิทัลและส่งเสริมการสร้างงานในอุตสาหกรรมอนาคต (พลังงานสะอาด, AI, เศรษฐกิจดิจิทัล) รวมถึงมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับค่าอบรมเพิ่มทักษะ.

6. การกำหนดนโยบายการคลังที่ยืดหยุ่น: ปรับนโยบายการคลังให้สอดคล้องสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยเฉพาะช่วงวิกฤติ การใช้นโยบายแบบยืดหยุ่น (Flexible Fiscal Policy) และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ (เพิ่มรายจ่ายภาครัฐ, ลดภาษี, เงินอุดหนุน) จะช่วยบรรเทาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมแผนจัดหาแหล่งเงินกู้ฉุกเฉินในรูปแบบกฎหมายพิเศษเพื่อใช้ในยามจำเป็น ดังเช่นที่เคยใช้ในวิกฤติมหาอุทกภัยปี 2554 และวิกฤติโควิด-19 ในปี 2563-2564.

แผนยุทธศาสตร์เหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐในการวางรากฐานและเตรียมเครื่องมือรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ ซึ่งในมุมหนึ่งอาจมองได้ว่าเป็นสัญญาณของ “ไฟหลอก” คือสถานการณ์ที่ดูยากลำบากแต่มีแผนรับมือชัดเจน อย่างไรก็ตาม มุมมองจากตลาดการลงทุนกลับสะท้อนอีกด้านว่า นโยบายด้านเศรษฐกิจของไทยยังไม่มีความชัดเจน เครื่องมือทางการเงินและการคลังไม่ได้ถูกนำมาใช้ และบรรยากาศการลงทุนในไทยแย่กว่าตลาดโลก โดย SET Index ติดลบ สวนทางกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ความไม่ชัดเจนนี้อาจทำให้แผนดับไฟที่วางไว้ยังไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ หรือการ “เผา” ที่เกิดขึ้น อาจเป็นผลมาจากความลังเลในการใช้เครื่องมือที่มีอยู่

ธปท. กับมุมมอง “พายุลูกนี้ไม่เลวร้ายเท่าครั้งที่เราเคยผ่านมา”: ไฟจริงที่จัดการได้?

ทางด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดย นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. ยอมรับว่า สงครามการค้าสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอน และการทะลักของสินค้าที่เข้ามาประเทศไทยอาจสร้างความเสียหายต่อภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งเปราะบางกว่ามาก ผลกระทบจากภาษีจะเริ่มเห็นผลในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี 2568 ขึ้นอยู่กับการเจรจา ธปท. ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 โดยคาดการณ์ผลลัพธ์ดีที่สุดคือเติบโตร้อยละ 2 และแย่ที่สุดคือเติบโตร้อยละ 1.3 ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของสภาพัฒน์ฯ ที่ค่ากลางอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำกว่าศักยภาพการเติบโต เนื่องจากผลกระทบภาษีที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 60 ของ GDP.

อย่างไรก็ตาม นายเศรษฐพุฒิไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายเกินไป โดยเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับวิกฤตการณ์ครั้งก่อนๆ (เช่นปี 1997 หรือ 2020) และเชื่อว่าไทยจะผ่านพ้นพายุลูกนี้ไปได้ เพราะเคยผ่านสิ่งที่เลวร้ายกว่ามาแล้ว ท่านกล่าวว่า “พายุครั้งนี้ไม่เลวร้ายเท่าครั้งที่เราเคยผ่านมา” แม้ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ส่งออก แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการให้สินเชื่อและอำนาจซื้อ โดยเฉพาะรถยนต์ หนี้ครัวเรือนของไทยเคยพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ 95.5 ในปี 2021 และลดลงเหลือร้อยละ 88.4 ของ GDP ณ สิ้นปี 2024 จากมาตรการของ ธปท. ธปท. ได้ดำเนินมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจ เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้วสองครั้งในปีนี้ โดยอัตราปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 1.75

มุมมองจาก ธปท. สะท้อนว่ามี “ไฟ” เกิดขึ้นจริงจากปัจจัยภายนอกและปัญหาเชิงโครงสร้างภายใน (หนี้ครัวเรือน) แต่เป็นไฟที่ยังอยู่ในระดับที่จัดการได้ ไม่รุนแรงเท่าอดีต และ ธปท. เองก็ได้เข้าดูแลผ่านการลดดอกเบี้ยและมาตรการลดหนี้ นี่อาจเป็นสัญญาณของ “ไฟจริงที่จัดการได้” หรือ “ไฟหลอก” ที่ถูกควบคุมไว้โดยกลไกของธนาคารกลาง

ผลกระทบที่จับต้องได้ในภาคส่วนต่างๆ: ไฟจริงที่กำลังเผาบางจุด

ขณะที่นโยบายระดับมหภาคกำลังถูกพิจารณา ผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในบางภาคส่วน

ภาคอสังหาริมทรัพย์และสินเชื่อบ้าน: ท่ามกลางความเสี่ยงและปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ยังคงเดินหน้าปล่อยสินเชื่อตามพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” และกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ 5 เดือนแรกของปี 2568 ธอส. ปล่อยสินเชื่อใหม่เติบโตถึง 30% สวนทางทิศทางตลาดโดยรวม สะท้อนว่าเป็นที่พึ่งของประชาชนรายได้น้อย-ปานกลาง ธอส. ประเมินว่าลูกค้าประมาณ 15% ในภาคส่งออกและขนส่งอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้หนี้เสียเพิ่มขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ธอส. มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบางและมาตรการกระตุ้นต่างๆ เช่น สินเชื่อ Premier Home, มาตรการ DC3, สินเชื่อซ่อม-แต่ง, และสินเชื่อ Pre Finance สำหรับผู้ประกอบการ หนี้เสียของ ธอส. ปัจจุบันอยู่ที่ 5.13% แต่คาดว่าจะลดลงต่ำกว่า 5% ได้จากมาตรการช่วยเหลือ ภาคอสังหาริมทรัพย์ในมุมของสินเชื่อบ้านอาจดูเหมือน “ไฟหลอก” ที่มีเครื่องมือควบคุม และแม้จะมีความเสี่ยงจากผลกระทบภายนอก แต่ก็มีกลไกช่วยเหลือที่ชัดเจน

ภาคการท่องเที่ยวและร้านอาหาร (กรณีศึกษาบรรทัดทอง): ถนนบรรทัดทอง หนึ่งในย่านสตรีทฟู้ดชื่อดัง กำลังเผชิญ “มรสุมครั้งใหญ่” รายได้ของร้านอาหารทรุดลงถึง 40-50% ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ สาเหตุหลักมาจากการลดลงอย่างมากของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเป็นกำลังซื้อหลัก แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมจะลดลงเล็กน้อย แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงถึง 25% นอกจากนี้ ปัญหาความกังวลเรื่องความปลอดภัยหลังเหตุการณ์ลักพาตัวนักแสดงชาวจีนก็ส่งผลกระทบ ย่านที่เคยมีผู้มาเยือนกว่าหมื่นคนต่อวันกำลังได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์บนโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับคุณภาพอาหารที่แย่ลงแต่ราคาสูงขึ้น กรณีของบรรทัดทองสะท้อน “ไฟจริง” ที่กำลังเผาไหม้ธุรกิจในภาคส่วนที่พึ่งพากำลังซื้อจากภายนอกอย่างรุนแรง ซึ่งเกิดจากปัจจัยภายนอก (นักท่องเที่ยวลด) และปัจจัยภายใน (ปัญหาคุณภาพ/ราคา)

ตลาดการลงทุน: ไฟแห่งความไม่แน่นอนที่สะท้อนความกังวลภายใน

ในมุมมองของตลาดการลงทุนโลกกำลังฟื้นตัว โดยเฉพาะสินทรัพย์เสี่ยง โดยดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกและในหลายประเทศทั้งสหรัฐฯ ยุโรป จีน เวียดนาม ไต้หวัน ฮ่องกง ล้วนปรับตัวสูงขึ้นในเดือน พ.ค. 2568 อย่างไรก็ตาม การใช้ Reciprocal Tariffs ยังหมายถึงภาษีที่ต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน และปัญหาเศรษฐกิจที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศยังสร้างความผันผวน สำหรับประเทศไทย ตลาดหุ้นกลับมีทิศทางที่แย่กว่าตลาดโลก **ประเด็นสำคัญส่วนใหญ่ยังเป็นเรื่องการเมือง และนโยบายด้านเศรษฐกิจยังไม่มีความชัดเจน ตลาดมองว่าเครื่องมือทางการเงินและการคลังไม่ได้ถูกใช้ การฟื้นตัวของตลาดโลกอาจเริ่มแผ่วลงในช่วงครึ่งหลังของปี ขณะที่ไทยยังคงมีเรื่องการเมืองและไม่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา

มุมมองการลงทุนนี้ให้ภาพว่า ขณะที่ไฟในระดับโลกอาจจะเริ่มสงบลง หรือเป็น “ไฟหลอก” ที่ถูกจัดการได้ในหลายประเทศ แต่สำหรับประเทศไทย กลับเหมือนมี “ไฟจริง” แห่งความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายที่ทำให้ตลาดขาดความเชื่อมั่นและไม่ตอบรับทิศทางบวกของโลก

บทสรุป: ไฟไหม้ไม่เท่ากัน ต้องเร่งดับจุดที่กำลังเผาจริง

จากข้อมูลในแหล่งต่างๆ สามารถสรุปได้ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 กำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายนอกอย่างสงครามการค้าและภาวะเศรษฐกิจโลก และปัจจัยภายในอย่างหนี้ครัวเรือนที่สูง และความไม่แน่นอนทางการเมือง

การอธิบายว่านี่คือ “เผาจริง” หรือ “เผาหลอก” อาจไม่ใช่คำตอบที่ครอบคลุมทั้งหมด แต่ภาพที่ปรากฏคือ มีทั้ง “ไฟจริง” ที่กำลังสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงในบางภาคส่วนที่อ่อนไหว เช่น ภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างร้านอาหารในย่านบรรทัดทอง และ “ไฟที่ต้องเฝ้าระวัง” เช่น ความเสี่ยงที่หนี้เสียในภาคอสังหาริมทรัพย์จะเพิ่มขึ้นจากผลกระทบต่อลูกค้าบางกลุ่ม และปัญหาหนี้ครัวเรือนโดยรวม

ในขณะเดียวกัน ก็มีสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเป็น “ไฟหลอก” หรืออย่างน้อยก็เป็นไฟที่สามารถจัดการได้ หากมีการนำแผนและเครื่องมือที่วางไว้มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นแผนยุทธศาสตร์ 6 ด้านของกระทรวงการคลัง หรือมุมมองของ ธปท. ที่เชื่อว่าสถานการณ์ไม่รุนแรงเท่าในอดีตและได้เริ่มใช้มาตรการสนับสนุนแล้ว รวมถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวในบางภาคส่วน เช่น ธอส. ที่ยังสามารถขยายสินเชื่อได้ดี

ดังนั้น เศรษฐกิจไทยอาจจะไม่ได้กำลัง “เผาจริง” ทั้งระบบ แต่มี “ไฟ” กำลังลุกไหม้อยู่ในหลายจุดที่เชื่อมโยงกับความเปราะบางของเศรษฐกิจและปัจจัยภายนอก และมี “ไฟแห่งความไม่แน่นอน” จากประเด็นการเมืองที่กำลังบั่นทอนความเชื่อมั่น คำถามสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าไฟนั้นจริงหรือหลอก แต่อยู่ที่ว่าภาครัฐจะสามารถนำแผนการที่วางไว้มาปฏิบัติได้อย่างรวดเร็วและตรงจุดเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนที่กำลังถูกเผาไหม้จริง และจะสามารถสร้างความชัดเจนทางการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจเพื่อจุดประกายความเชื่อมั่นและการลงทุนให้กลับคืนมาได้หรือไม่ หากทำได้ทันท่วงที ไฟที่กำลังคุกรุ่นก็อาจจะดับลงได้ในที่สุด แต่หากยังคงเผชิญกับความล่าช้าและความไม่แน่นอน “ไฟจุดเล็กๆ” เหล่านั้นก็อาจลุกลามกลายเป็น “ไฟจริง” ที่ยากจะควบคุมได้ในอนาคต.

<strong>เศรษฐกิจไทย เผาจริงหรือเผาหลอกกันแน่</strong>