ก.ล.ต. กล่าวโทษ JKN และแอน จักรพงษ์ ปมแต่งงบการเงิน

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2567 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ JKN, จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ และ พิมพ์อุมา จักราจุฑาธิบดิ์ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) หลังพบว่า ทั้งสามมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตกแต่งงบการเงินประจำปี 2566 และงบไตรมาส 1 ปี 2567 ของบริษัท โดยมีการลงข้อความเท็จและบัญชีที่ไม่ถูกต้อง เพื่อลวงผู้เกี่ยวข้องผ่านรายงานทางการเงินและแบบแสดงข้อมูลประจำปี (56-1 One Report) ซึ่งอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายหลักทรัพย์ฯ และส่งผลต่อความน่าเชื่อถือในตลาดทุนอย่างรุนแรง

ก.ล.ต. ได้ดำเนินการกล่าวโทษ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ JKN และผู้บริหารระดับสูง 2 ราย ได้แก่ จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ พิมพ์อุมา จักราจุฑาธิบดิ์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานคอนเทนต์ ต่อ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในข้อหากระทำความผิดเกี่ยวกับการรายงานทางบัญชีและงบการเงินที่ไม่ตรงต่อความเป็นจริง

กรณีนี้สืบเนื่องจากผู้สอบบัญชีของ JKN ได้แจ้งต่อคณะกรรมการตรวจสอบของบริษัท ตามมาตรา 89/25 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปกติของธุรกรรมการซื้อลิขสิทธิ์รายการ (Content) ที่ไม่สอดคล้องกับเหตุผลทางธุรกิจ เช่น การซื้อลิขสิทธิ์ซ้ำซ้อนกับของเดิมที่ยังไม่หมดอายุ การสั่งซื้อที่เกินความจำเป็นแม้บริษัทมีปัญหาสภาพคล่อง และเอกสารประกอบบัญชีที่ไม่สมบูรณ์หรืออาจไม่มีอยู่จริง

จากการตรวจสอบเพิ่มเติมของ ก.ล.ต. พบว่า ตั้งแต่ปี 2563-2566 มูลค่าสินทรัพย์ประเภทลิขสิทธิ์ในงบดุลของ JKN เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ ขณะที่รายได้จากการขายลิขสิทธิ์ไม่ได้เติบโตในระดับเดียวกัน นอกจากนี้ยอดลูกหนี้การค้าในแต่ละปีมักสูงใกล้เคียงหรือมากกว่ารายได้จากค่าลิขสิทธิ์ ซึ่งสร้างข้อสงสัยต่อความสามารถในการจัดเก็บรายได้จริงและการมีอยู่ของลูกหนี้การค้า

ที่สำคัญมีพฤติกรรมร่วมกันระหว่างผู้บริหาร 2 ราย คือ จักรพงษ์ และ พิมพ์อุมา ในการสั่งการหรือดำเนินการให้จัดทำรายการเจ้าหนี้และลูกหนี้ปลอม นำไปบันทึกในสมุดบัญชีและงบการเงินปี 2566 และเอกสารบัญชีในไตรมาสแรกของปี 2567 ทั้งนี้มีการบันทึกบัญชีผิดงวด เพื่อลวงบุคคลทั่วไปว่า JKN มีสถานะทางการเงินที่ดีกว่าความเป็นจริง และใช้ยอดเจ้าหนี้การค้าปลอมในการมีสิทธิออกเสียงเลือกผู้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ

การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตาม มาตรา 312 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ว่าด้วยการกระทำเพื่อหลอกลวง และ มาตรา 281/10 ว่าด้วยการเปิดเผยงบการเงินเท็จ ทั้งนี้ยังผิดตาม มาตรา 300 ที่เกี่ยวกับบททั่วไปเกี่ยวกับการหลอกลวงผ่านรายงานหรือเอกสารของบริษัทจดทะเบียน

นอกจากนี้ การกระทำของผู้ถูกกล่าวโทษยังทำให้เข้าข่ายลักษณะ “ขาดความน่าไว้วางใจ” ตามเกณฑ์ของ ก.ล.ต. ส่งผลให้ไม่สามารถดำรงตำแหน่งกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนใด ๆ ได้ ตลอดระยะเวลาที่ถูกดำเนินคดี

ในเบื้องต้น ก.ล.ต. ได้ส่งเรื่องให้ DSI ดำเนินการสอบสวนทางอาญาต่อไป โดยหลังจากนี้กระบวนการจะเข้าสู่ขั้นตอนของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และการพิจารณาของศาลยุติธรรมตามลำดับ ขณะเดียวกัน ก.ล.ต. ยังคงขยายผลการตรวจสอบในประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ JKN และผู้บริหารเพิ่มเติม โดยจะรายงานให้สาธารณชนทราบหากพบข้อมูลใหม่

ข้อมูล : thestandard