ซีรีส์ “สงคราม ส่งด่วน” (MAD Unicorn) ที่กำลังเป็นกระแสบน Netflix สะท้อนภาพการแข่งขันอันดุเดือดในโลกธุรกิจขนส่งพัสดุด่วน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของ E-commerce ในประเทศไทย। แต่ในโลกจริง สมรภูมินี้โหดร้ายไม่แพ้ในจอ ผู้เล่นหลายรายเผชิญภาวะขาดทุนอย่างหนัก แม้ตลาดจะมีดีมานด์มหาศาลก็ตาม। บทความนี้จะพาไปวิเคราะห์เจาะลึกฟอร์มของผู้ให้บริการขนส่งพัสดุด่วนรายใหญ่ 5 แห่ง โดยเน้นที่ผลประกอบการด้านรายได้และกำไร (หรือขาดทุน) ในช่วงปี 2564-2566 เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์จริงในสนามรบนี้
ตลาดบริการจัดส่งพัสดุด่วนในไทยมีมูลค่าสูงและเติบโตต่อเนื่อง ตามข้อมูลจาก SHIPPOP มูลค่าตลาดในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 100,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปี 2566 และคาดว่าจะเติบโตถึง 1.32 แสนล้านบาทในปี 2573। อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดีมานด์ที่สูงนี้กลับสวนทางกับผลกำไรของผู้ให้บริการหลายราย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ตลาดนี้ไม่ใช่สนามที่ทุกคนจะทำกำไรได้ง่ายๆ
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ให้บริการส่วนใหญ่ไม่สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ แม้จะมีปริมาณงานมาก คือ ต้นทุนการดำเนินงานที่สูง ทั้งจากปัจจัยภายนอก เช่น การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและการเสนอโปรโมชั่นส่งฟรีจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ ซึ่งบีบให้ผู้ให้บริการต้องลดราคาค่าบริการ หรือแบกรับต้นทุนเอง และปัจจัยภายใน คือ การลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี ทั้งคลังสินค้า ระบบคัดแยกอัตโนมัติ ระบบติดตามพัสดุ เทคโนโลยี AI สำหรับวางเส้นทาง รวมถึงต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในส่วน Last-mile Delivery นอกจากนี้ การขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศยังต้องใช้เงินลงทุนสูง ซึ่งในบางพื้นที่ รายได้ต่อชิ้นอาจไม่คุ้มต้นทุนด้วยซ้ำ
สมรภูมินี้ได้เปลี่ยนจาก ‘ทะเลสีน้ำเงิน’ ที่เต็มไปด้วยโอกาสเมื่อ 5-10 ปีก่อน กลายเป็น ‘ทะเลสีแดง’ ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและต้นทุน จากการที่ผู้เล่นทั้งไทยและต่างชาติจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในตลาด โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์เน้นปริมาณ (Volume Play) และการตัดราคา
มาดูผลประกอบการของผู้เล่นหลัก 5 ราย ในช่วงปี 2564-2566 ซึ่งเป็นช่วงที่การแข่งขันเข้มข้นอย่างมาก ตามข้อมูลจากแหล่งต่างๆ:
- ไปรษณีย์ไทย (Thailand Post) ไปรษณีย์ไทยเป็นธุรกิจสัญชาติไทยเก่าแก่ มีจุดแข็งที่เครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศและความน่าเชื่อถือ। แม้จะเคยประสบภาวะขาดทุนหนัก แต่ก็สามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้।
- ปี 2564: ขาดทุน 1,730 ล้านบาท (รายได้ 21,227 ล้านบาท)
- ปี 2565: ขาดทุน 3,018 ล้านบาท (รายได้ 19,546 ล้านบาท)
- ปี 2566: กำไร 78 ล้านบาท (รายได้ 20,934 ล้านบาท)
- Flash Express Flash Express ก่อตั้งในปี 2560 โดยคุณคมสัน แซ่ลี และก้าวขึ้นมาเป็นยูนิคอร์นตัวแรกของไทยในปี 2564। สร้างชื่อด้วยการขยายเครือข่ายอย่างรวดเร็ว ชูจุดแข็งด้านเทคโนโลยีและบริการ 365 วันไม่มีวันหยุด รวมถึงบริการรับพัสดุฟรีถึงบ้าน।
- ปี 2564: กำไร 5.7 ล้านบาท (รายได้ 17,607 ล้านบาท)
- ปี 2565: ขาดทุน 2,186 ล้านบาท (รายได้ 14,805 ล้านบาท)
- ปี 2566: ขาดทุน 559 ล้านบาท (รายได้ 20,093 ล้านบาท) แม้ในปี 2566 จะยังขาดทุน แต่รายได้กลับมาใกล้เคียงกับไปรษณีย์ไทย ซึ่งแหล่งข้อมูลชี้ว่าการขยายบริการหลายแนวอาจนำไปสู่การทำกำไรในอนาคต
- J&T Express J&T Express สัญชาติอินโดนีเซีย เข้ามาทำตลาดในไทยตั้งแต่ปี 2558 และเติบโตขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะจากยอดส่งพัสดุของ TikTok มีจุดให้บริการจำนวนมาก แต่กลับประสบภาวะขาดทุนอย่างรุนแรงในปีล่าสุด
- ปี 2564: กำไร 5.2 ล้านบาท (รายได้ 67.7 ล้านบาท) ตัวเลขรายได้และกำไรในปี 2564-2565 จากตาราง อาจเป็นข้อมูลของบริษัทหรือการดำเนินงานในส่วนที่แตกต่างจากที่กล่าวถึงในเนื้อหาหลัก
- ปี 2565: กำไร 1,517 ล้านบาท หรือ กำไร 25.3 ล้านบาท (รายได้ 498 ล้านบาท) ข้อมูลกำไรจากแหล่งต่างๆ มีความแตกต่างกันอย่างมาก
- ปี 2566: ขาดทุน 7,093 ล้านบาท (รายได้ 18,511 ล้านบาท) ในปี 2566 J&T Express เป็นผู้เล่นที่ขาดทุนหนักที่สุดในกลุ่ม สะท้อนความท้าทายในการบริหารจัดการต้นทุนในสภาวะการแข่งขันที่เน้นปริมาณ
- Lazada Express Lazada Express อยู่ภายใต้บริษัท ลาซาด้า เอ็กซ์เพรส จำกัด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Lazada ผู้เล่นกลุ่มนี้เน้นการจัดส่งภายในระบบนิเวศของตนเอง ซึ่งช่วยให้ควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า และ Lazada Express สามารถทำกำไรได้สูงอย่างต่อเนื่อง。
- ปี 2564: ขาดทุน 286 ล้านบาท หรือ กำไร 2,700 ล้านบาท ข้อมูลผลประกอบการจากแหล่งต่างๆ มีความแตกต่างกันอย่างมาก
- ปี 2565: กำไร 2,700 ล้านบาท หรือ กำไร 2,909 ล้านบาท ข้อมูลผลประกอบการจากแหล่งต่างๆ มีความแตกต่างกัน
- ปี 2566: กำไร 2,909 ล้านบาท (รายได้ 16,738 ล้านบาท หรือ 14,329 ล้านบาท) Lazada Express เป็นผู้เล่นที่ทำกำไรได้สูงสุดในกลุ่ม แม้จะมีจำนวนจุดบริการน้อยกว่ารายอื่น จุดเด่นอยู่ที่การเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม การควบคุมอัตราการเข้ารับสินค้า การจัดส่ง และอัตราความสำเร็จในการจัดส่ง
- SPX Express (Shopee Express) SPX Express เป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Shopee เช่นเดียวกับ Lazada Express ที่เน้นการจัดส่งภายในระบบของตนเองและสามารถควบคุมต้นทุนได้ดี
- ปี 2564: ขาดทุน 289 ล้านบาท หรือ กำไร 933 ล้านบาท ข้อมูลผลประกอบการจากแหล่งต่างๆ มีความแตกต่างกัน
- ปี 2565: กำไร 932 ล้านบาท หรือ กำไร 34.8 ล้านบาท ข้อมูลผลประกอบการจากแหล่งต่างๆ มีความแตกต่างกัน
- ปี 2566: กำไร 34 ล้านบาท (รายได้ 16,607 ล้านบาท หรือ 23,499 ล้านบาท) SPX Express ทำกำไรได้ในปี 2566 เช่นกัน โดยมีจุดเด่นที่บริการเข้ารับสินค้าถึงร้าน การเก็บเงินปลายทาง และการขนส่งที่รวดเร็ว
จากข้อมูลผลประกอบการจะเห็นภาพชัดเจนว่า ตลาดขนส่งพัสดุด่วนในไทยยังคงอยู่ในภาวะ “ส่งของได้มาก แต่กำไรน้อย” ผู้เล่นที่เน้นปริมาณและเผชิญต้นทุนการดำเนินงานที่สูงจากการแข่งขันด้านราคา เช่น J&T Express และ Flash Express ยังคงอยู่ในภาวะขาดทุน ขณะที่ผู้เล่นที่เป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ เช่น Lazada Express และ SPX Express กลับสามารถทำกำไรได้ดีกว่า เนื่องจากอาจมีความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนและสร้างรายได้จากระบบนิเวศของตนเองได้ดีกว่า รวมถึงไปรษณีย์ไทยที่อาศัยจุดแข็งด้านเครือข่ายและความน่าเชื่อถือ ก็สามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้ในปีล่าสุด
อนาคตของธุรกิจส่งด่วนในไทย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครจะส่งของได้เยอะที่สุด หรือมีขนาดใหญ่ที่สุดเพียงอย่างเดียว แต่จะวัดกันที่ความสามารถในการ บริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Lean) และ นำเทคโนโลยีมาเป็นหัวใจของระบบปฏิบัติการ (Tech) ผู้เล่นที่สามารถยกระดับคุณภาพบริการ ควบคุมต้นทุน และสร้างระบบที่ยั่งยืนในยุคที่ทุกบาทมีความหมาย จะมีโอกาสอยู่รอดและเติบโตในสมรภูมิแห่งนี้ต่อไป
