ญี่ปุ่นออกกฎหมายคาร์บอนใหม่ SME ไทยต้องเร่งปรับตัวทันปี 2026

ญี่ปุ่นเดินหน้ากฎหมายควบคุมการปล่อยคาร์บอนเต็มรูปแบบ เริ่มบังคับใช้ปี 2026 ส่งผลต่อ SME ไทยในฐานะซัพพลายเออร์ธุรกิจญี่ปุ่น จำเป็นต้องเร่งศึกษาและจัดการข้อมูลการปล่อยคาร์บอน หากไม่ปรับตัวอาจเสี่ยงหลุดโซ่อุปทานโลก

รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศเดินหน้าใช้กฎหมาย Emissions Trading System (ETS) อย่างเข้มข้นในเดือนเมษายน 2026 เพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากธุรกิจรายใหญ่ราว 300-400 แห่ง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหลัก เช่น เหล็กกล้าและยานยนต์ ซึ่งหากปล่อยคาร์บอนเกินกว่าที่กำหนดไว้ จะต้องหักกลบผ่านการซื้อ Carbon Credit จากธุรกิจที่ปล่อยต่ำกว่าเพดานที่กำหนด การเปลี่ยนแปลงนี้แม้ดูเหมือนจำกัดอยู่แค่ญี่ปุ่น แต่แท้จริงแล้วส่งผลต่อ ธุรกิจ SME ไทย ที่ทำหน้าที่เป็นซัพพลายเออร์ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นซึ่งมีฐานการผลิตในประเทศไทย และถูกนับรวมในเงื่อนไขของกฎหมายฉบับนี้ด้วย

“สิ่งแวดล้อม” กลายเป็นเกณฑ์ใหม่ของการแข่งขัน

ระบบ ETS ของญี่ปุ่นเป็นกลไกควบคุมการปล่อยคาร์บอน โดยกำหนด “เพดานการปล่อย” สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกปีละกว่า 100,000 ตัน เช่น บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และเหล็กกล้า หากบริษัทใดสามารถลดปริมาณคาร์บอนต่ำกว่าเพดาน ก็จะได้สิทธิในการขาย Carbon Credit ส่วนเกินให้แก่บริษัทที่ปล่อยเกิน ซึ่งกลายเป็นแรงจูงใจใหม่ให้ธุรกิจทั่วโลกร่วมลดภาวะโลกร้อน และเป็นก้าวสำคัญของญี่ปุ่นในการบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutral หรือความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050

ธุรกิจของญี่ปุ่นทั่วโลกต้องปฏิบัติตาม ไม่จำกัดแค่ในประเทศ

กฎหมาย ETS ของญี่ปุ่นไม่ได้ใช้กับบริษัทที่ตั้งอยู่เฉพาะในประเทศเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงธุรกิจญี่ปุ่นที่ดำเนินงานในประเทศอื่นด้วย โดยเฉพาะในไทยที่เป็นฐานการผลิตหลักของบริษัทญี่ปุ่นหลายราย SME ไทยที่เป็นผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ให้กับบริษัทเหล่านี้ จึงอาจต้องถูกเรียกขอข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและข้อมูล Carbon Footprint เพื่อประกอบการรายงานของบริษัทแม่

หากไม่สามารถให้ข้อมูลได้ หรือไม่มีระบบติดตามข้อมูลการปล่อยคาร์บอน อาจกระทบต่อการเป็นซัพพลายเออร์ในระยะยาว เพราะบริษัทญี่ปุ่นจะหันไปหาผู้ผลิตที่สามารถตอบสนองต่อข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมได้ครบถ้วนแทน

SME ไทยต้องเริ่มเตรียมตัวอย่างไร

SME ไทยจำเป็นต้องเริ่มศึกษาการวัดผลและจัดการ Carbon Footprint ของกิจกรรมในองค์กร รวมถึงจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ซึ่งอาจเริ่มจากการใช้เทคโนโลยีที่เข้าถึงง่าย เช่น ระบบเซ็นเซอร์ควบคุมไฟฟ้า การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมาตรการลดการใช้ทรัพยากรภายในองค์กร

ขณะเดียวกันควรติดต่อขอรับคำปรึกษาจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีโครงการสนับสนุนการลดคาร์บอนของภาคธุรกิจ เช่น สถาบันพลังงาน สภาอุตสาหกรรม หรือหน่วยงานส่งเสริมการค้า ซึ่งมีบทบาทช่วยเหลือในการวัดและรายงานคาร์บอนอย่างมืออาชีพ

โอกาสใหม่ในการแข่งขันระดับสากล

แม้ระบบ ETS อาจถูกมองว่าเป็นภาระ แต่หาก SME ไทยสามารถปรับตัวทันและมีข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่พร้อม ก็อาจกลายเป็น “แต้มต่อ” ในการรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจและขยายโอกาสการส่งออกไปยังประเทศที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่ใช่เพียงญี่ปุ่น แต่รวมถึงยุโรป สหรัฐฯ และอีกหลายภูมิภาค

เมื่อโลกเดินหน้าเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ SME ไทยต้องมองการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสในการสร้างความยั่งยืน พร้อมยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันในระดับสากล

ข้อมูล : marketingoops