ประเสริฐสั่งล่าผู้ใช้ AI ปลอมภาพ “ภูมิธรรม-ฮุนเซน”

นายประเสริฐ จันทรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สั่งการตรวจสอบและปราบปรามการเผยแพร่ภาพที่สร้างจาก ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเป็นการปลอมแปลงภาพของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมกับผู้นำประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่ไทยและกัมพูชามีข้อพิพาทด้านชายแดนและอ่อนไหวทางการเมือง ส่งผลให้รัฐบาลเร่งดำเนินการสืบสวนต้นตอ หากพบว่ามาจากต่างประเทศจะสั่ง “ปิดกั้น” ทันที พร้อมเตรียมดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯ ฐานนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งเข้าข่ายกระทบต่อความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

นายประเสริฐ จันทรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการตรวจพบการเผยแพร่ ภาพปลอมที่สร้างจากเทคโนโลยี AI บนโซเชียลมีเดีย โดยเป็นภาพของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในลักษณะที่ไม่เหมาะสม และอาจตีความได้ว่าเชื่อมโยงกับผู้นำประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สมเด็จฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา ซึ่งถือเป็นประเด็นละเอียดอ่อน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ไทยและกัมพูชากำลังมีข้อพิพาททางการเมืองและชายแดน

นายประเสริฐระบุว่า การเผยแพร่ภาพดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 ที่บัญญัติถึงการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งหากส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ถือเป็นความผิดร้ายแรง กระทรวงจึงมีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการสืบสวน แสวงหาต้นตอของผู้เผยแพร่ และแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

“ภาพเหล่านี้แม้ไม่ได้มีเนื้อหาก้าวร้าวโจมตีโดยตรง แต่ก็สามารถจุดชนวนความเข้าใจผิดระหว่างประเทศได้ เพราะขณะนี้ ไทยและกัมพูชามีความอ่อนไหวทางการทูต การใช้ AI เพื่อบิดเบือนความจริง หรือปลอมภาพบุคคลสาธารณะ ถือว่าไม่สามารถยอมรับได้” นายประเสริฐกล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงแนวทางการรับมือกรณีที่ภาพหรือข้อมูลดังกล่าวมีต้นทางมาจากต่างประเทศ เช่น กัมพูชา นายประเสริฐชี้แจงว่า กระทรวงมีมาตรการที่สามารถ สั่งปิดกั้น (block) การเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ทันที หากพบว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง และยังสามารถประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านผ่าน คณะทำงานร่วมด้านการต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Task Force) ซึ่งมีอยู่แล้ว เพื่อช่วยสืบสวนและหยุดยั้งการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นอันตรายอีกทางหนึ่ง

ทั้งนี้ กระทรวงดีอีเอสยังเตือนประชาชนให้ระมัดระวังในการรับและแชร์ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะเนื้อหาที่มีลักษณะ Deepfake หรือการปลอมแปลงด้วย AI ซึ่งอาจดูสมจริง แต่เบื้องหลังคือข้อมูลเท็จที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบในระดับประเทศ โดยทางกระทรวงจะดำเนินคดีในฐานะผู้เสียหาย เนื่องจากเป็นความผิดที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติอย่างชัดเจน

ข้อมูล : one31