ในการสัมมนา “New Era Economy” เมื่อเดือนมีนาคม 2566 คุณคมสันต์ ลี ได้แบ่งปันมุมมองและบทเรียนจากเส้นทางการสร้าง Flash Express จากจุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน โดยฉายภาพการเติบโต ความท้าทาย และการปรับตัวในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งเป็นข้อคิดสำคัญสำหรับผู้ประกอบการในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
คุณคมสันต์ยอมรับว่าในวันนี้ เขารู้สึกไม่ชอบคำว่า “ยูนิคอร์น” เป็นอย่างมาก แม้ว่าตอนแรกทุกคนในองค์กรจะดีใจ แต่หลังจากผ่านไป 1 ปี คำนี้กลับทำให้คนในองค์กรเกิดความประมาท อวดเก่ง และลืมไปว่ายังเป็นสตาร์ทอัพอยู่ พวกเขาเข้าใจผิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว ทั้งที่จริงแล้ว Flash Express ยังคงต้องเผชิญความท้าทาย ความเสี่ยง และอาจ “เจ๊ง” ได้เหมือนเดิม ไม่ต่างจากวันที่ยังไม่เป็นยูนิคอร์น เพียงแต่ขนาดองค์กรใหญ่ขึ้น ความรู้สึกว่าประสบความสำเร็จแล้ว ทำให้วิธีการทำงานเปลี่ยนไป คือทำเหมือนเป็นผู้ชนะ ไม่ได้ระวัง ไม่ได้ตั้งใจในทุกรายละเอียดเหมือนช่วงเริ่มต้น ยกตัวอย่างเช่น ต้นทุนในการประชุมที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมประชุมในบริษัทได้ ตอนนี้ต้องประชุมในโรงแรม 5 ดาว

เส้นทางการเติบโตของ Flash Express ถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา:
- ช่วงอันธพาล: ช่วงแรกที่ทุกคนคิดอย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรให้องค์กร “ไม่เจ๊ง” หรือยังมองเห็นแสงอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้ เป็นช่วงที่ต้อง “ใช้ทุกวิถีทาง” เพื่อให้โอกาสอยู่กับเรานานที่สุด และไม่เจ๊ง คุณคมสันต์เน้นย้ำว่าหากเป็นโอกาสที่อยากได้มาก ต้องใช้ทุกวิถีทางและรักษาทุกโอกาสไว้ให้ได้ เพราะอาจมีเพียงครั้งเดียวในชีวิต ช่วงนี้ใช้เวลาเปลี่ยนผ่านเกือบ 2 ปี นอกจากความพยายามและความตั้งใจ สิ่งสำคัญคือ “ความเชื่อใจ” ต้องเชื่อเต็มร้อย หากไม่เชื่อต้องไม่เชื่อตั้งแต่แรก เพราะกิจการยังเล็ก การสงสัยหรือลังเลแม้เพียงเล็กน้อยก็มีต้นทุนที่แพงมาก เปรียบเสมือนการขับรถเร็วแล้วหักหลบโดยไม่แน่ใจว่ามีสิ่งกีดขวางหรือไม่ ซึ่งอาจทำให้รถพังหรือถึงตายได้ ดังนั้นต้องเลือกคนที่เชื่อจริงๆ หรือหากไม่เชื่อก็ต้องรีบเปลี่ยนโดยเร็วที่สุด
- ช่วงกฎระเบียบ: เมื่อองค์กรเติบโตขึ้นและมีคนจำนวนมาก (เช่น 5,000 คนในอดีต หรือ 60,000 คนในปัจจุบัน) ความเชื่อใจอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะความเชื่อที่เคยให้ไปอาจกลายเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริต หรือตัดสินใจเข้าข้างตัวเองโดยไม่เข้าข้างกิจการ ในช่วงนี้จึงต้องมี “ระบบตรวจสอบและระบบติดตาม” ที่เข้มงวด เพราะผู้บริหารคนเดียวไม่สามารถตามดูแลทุกคนได้ทั่วถึง ทุกอย่างต้องตรวจสอบได้ มีแผนสำรอง และสามารถเข้าถึงได้โดยไม่มีผู้บริหารอยู่
- ช่วง Culture: เป็นช่วงที่กำลังสร้างอยู่ในปัจจุบัน นอกจากการมีค่านิยมและกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนแล้ว ต้องสร้างวัฒนธรรมที่ทำให้คนในองค์กรรักกัน และมองเห็นอนาคตร่วมกัน การสร้าง Culture ที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับการขยายไปต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบัน Flash Group เปิดแล้วเกือบทุกประเทศในอาเซียน (ยกเว้นเมียนมาร์ กัมพูชา สิงคโปร์) โดย Flash Express เปิดในไทย ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ การทำงานกับ 6 ประเทศ 6 วัฒนธรรม และ 6 สัญชาติเป็นเรื่องที่ยากมาก วิธีการบริหารคนจำนวนมาก (เกือบ 60,000 ชีวิต) คือการให้ทุกคนเห็นเป้าหมายใหญ่เหมือนกัน แต่ “เลือกทางเดินให้พวกเขา” โดยการตั้งกฎและกติกาที่สอดคล้องกับเป้าหมาย เพื่อป้องกันความผิดพลาด และให้ความรู้ (Training) เพื่อความเป็นมืออาชีพ
คุณคมสันต์ได้ยกตัวอย่างความท้าทายในการขยายธุรกิจไปฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีความซับซ้อนด้านเอกสารพลเมือง ทำให้พนักงานจำนวนมากไม่มีเอกสาร ส่งผลให้เกิดปัญหาการทุจริตและขโมยเงินอย่างรุนแรง ถึงขั้นเสียหาย 60 ล้านบาทต่อเดือน และต้องเปลี่ยนตู้เซฟให้หนักขึ้นเพื่อป้องกันการถูกยกเค้า นอกจากนี้ยังมีปัญหาอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคาสิโน ทำให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นผู้ช่วย CEO ถูกลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่ เหตุผลหลักที่เลือกฟิลิปปินส์ไม่ใช่แค่จำนวนประชากร แต่เป็นเพราะข้อมูลพื้นฐานของประเทศ โอกาสทางเศรษฐกิจ Partnership ที่ชวนเข้าไป และที่สำคัญคือ ฟิลิปปินส์เป็นอันดับ 1 ด้านการเติบโตของ E-commerce ในภูมิภาค
สำหรับภาพอนาคตใน 2-3 ปีข้างหน้า Flash Express ต้อง “Balance” หมวกสองใบ คือ การเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ซึ่งนำไปสู่การลงทุนเพิ่ม โดยล่าสุดได้ลงทุนอีก 15,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น โลจิสติกส์ คลังสินค้า การเงิน และ AI โดยต้องการขยายไปถึงระดับชุมชนและหมู่บ้านในไทย รวมถึงการลงทุนในต่างประเทศทั้งในและนอกอาเซียน อีกหมวกคือการ “พัฒนาภายใน” โดยให้เวลากับการสร้าง Culture และพัฒนาบุคลากรด้านหลังบ้าน (“ขุนนาง”) ให้แข็งแกร่ง จากที่ผ่านมาเน้นบุคลากรด้านหน้าบ้าน (“แม่ทัพ” หรือ “นักรบ”)
สิ่งที่น่ากังวลอย่างมากคือ นโยบายค่าแรง เนื่องจาก Flash Express มีพนักงานเกือบ 60,000 คน การปรับเพิ่มค่าแรง 300-400 บาท จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุน ซึ่งเป็นความท้าทายที่ต้องเผชิญอยู่แล้วจากสภาวะการจ้างงานที่เริ่มตึงตัว เพราะการท่องเที่ยวที่กลับมาทำให้คนไปทำงานบริการอื่นๆ ได้เงินดีกว่า
คุณคมสันต์ยังกล่าวถึงเป้าหมายบริการในอนาคตคือ “211” คือสั่งก่อน 11 โมงเช้า ได้รับภายในวันเดียวกัน หรือสั่งก่อน 11 โมงคืน ได้รับก่อน 11 โมงเช้าวันรุ่งขึ้น การจะทำเช่นนี้ได้ต้องเปลี่ยนโมเดลจากการไปรับสินค้าที่ผู้ขายแล้วไปส่งผู้ซื้อ มาเป็นการใช้คลังสินค้า Fulfillment ที่อยู่ใกล้ผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้สามารถควบคุมออเดอร์และลดต้นทุนการขนส่งทางไกลได้
เกี่ยวกับสปิริตของผู้ประกอบการ คุณคมสันต์เชื่อว่า “สปิริตความเป็นเจ้าของ” ไม่หายไปแน่นอน แต่บทบาทอาจเปลี่ยนไป เมื่อองค์กรใหญ่ขึ้นต้องมีความเป็น “มืออาชีพ” แต่ความเป็นมืออาชีพนั้นก็ต้องมี “ความเป็นเจ้าของ” อยู่ด้วยเสมอ เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและคำนึงถึงต้นทุนอย่างแท้จริง Culture ที่สร้างขึ้นจะหลอมรวมทั้งความเป็นมืออาชีพและความเป็นเจ้าของเข้าไว้ด้วยกัน
บทเรียนสรุปในแต่ละยุค:
- ยุคเริ่มต้น (อันธพาล): เชื่อใจ (คน) 100% หรือไม่เชื่อเลย เพราะเวลาสำคัญที่สุด
- ยุคกลาง (กฎระเบียบ): ต้องมีกฎที่ชัดเจนและแข็งแรง ไม่ใช่แค่ตั้งเป้าหมาย ต้องมีคนตรวจสอบ
- ยุค Culture (การแข่งขัน): ต้องมี “ม้า 2 ตัว” คือ “งาน” และ “คน”

ท้ายที่สุด คุณคมสันต์ได้ฝากคำเตือนถึงผู้ประกอบการทุกคนว่า “หมาป่ามาแน่ๆ” โลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และผู้ที่อาจจะ “Disrupt” หรือล้มธุรกิจเราอาจไม่ใช่คู่แข่งที่เรามองเห็นอยู่ในวันนี้ด้วยซ้ำ ตัวอย่างหมาป่าเหล่านี้คือ เทคโนโลยีต่างๆ เช่น 3D Printing (ทำให้คนพิมพ์ของเองที่บ้าน), รถยนต์/โดรนไร้คนขับ (อาจไม่ต้องการบริษัทขนส่ง), และ ระบบราง (ที่คนอาจไปรับของเอง) หมาป่าหลักในวันนี้คือ AI ที่จะเปลี่ยนกระบวนการเดิมๆ และ Technology ที่ช่วยให้สะดวกสบายขึ้นและแก้ปัญหาบางขั้นตอนได้ เช่น การใช้ข้อมูลพฤติกรรมการส่งสินค้าของ Flash ในการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือเพื่อปล่อยสินเชื่อ Flash Money แทน Credit Bureau แบบเดิม นี่คือคำเตือนที่เปรียบเสมือนการให้ระวังหมาป่าในคืนพระจันทร์เต็มดวง
ข้อมูล : ประชาชาติธุรกิจ