ธุรกิจ Wellness และสปาไทย กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยปี 2567 มีมูลค่ามากถึง 1 ล้านล้านบาท และคาดว่าในปี 2570 จะเพิ่มขึ้นแตะ 1.5 ล้านล้านบาท จากแนวโน้มการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวสูงวัยที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งจากประเทศในเอเชียและตะวันออกกลาง การขยายตัวของภาคธุรกิจและบริการเพื่อสุขภาพครั้งนี้ ไม่เพียงส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงคุณภาพของไทย แต่ยังช่วยสร้างรายได้กระจายสู่ชุมชน พร้อมทั้งสอดรับกับโครงสร้างประชากรสูงวัยที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจหลายแห่ง เช่น TUSCAN Senses Spa และเครือ TOSCANA VALLEY ได้เร่งปรับตัวและพัฒนาบริการแบบองค์รวม เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ที่ต้องการมากกว่าการพักผ่อนทั่วไป

แม้จำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศไทยจะลดลงในช่วง Low Season แต่กระแสการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพกลับเติบโตสวนทางอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนจากมูลค่าตลาด Wellness ไทย ปี 2567 ที่สูงถึง 1 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะขยับเป็น 1.5 ล้านล้านบาทในปี 2570 ซึ่งการเติบโตดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากการปรับตัวของผู้ประกอบการหลังโควิด-19 ที่มุ่งเน้นบริการเพื่อสุขภาพทั้งในแง่ร่างกายและจิตใจ
ชวนัสถ์ สินธุเขียว ประธานสมาพันธ์สมาคมสปาแอนด์เวลเนสไทย ระบุว่า ธุรกิจ Wellness ในไทยกำลังพัฒนาไปสู่การให้บริการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคในยุคใหม่ โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพองค์รวมและกลุ่มผู้สูงอายุ พร้อมยกให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้าน Wellness อันดับต้นของโลก จากการจัดอันดับของนิตยสาร CEO World Magazine
ข้อมูลจาก Booking ยังตอกย้ำเทรนด์นี้ โดยระบุว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนมากมุ่งเน้นการเดินทางเพื่อพักฟื้นร่างกายและจิตใจ มากกว่าการท่องเที่ยวเพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว
หนึ่งในตัวอย่างของผู้ประกอบการที่พลิกโฉมธุรกิจรับกระแส Wellness คือ บริษัท ทอสกานา วัลเล่ จำกัด หรือ TOSCANA VALLEY ซึ่งได้ขยายบริการด้านสุขภาพผ่าน TUSCAN Senses Spa ที่เขาใหญ่ โดยเพิ่มบริการอย่างโยคะ ดนตรีบำบัด อาหารออร์แกนิก ฟิตเนส คลินิกชะลอวัย และแพทย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทำให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว โดยเฉพาะผู้สูงวัยจากไทย จีน และตะวันออกกลาง
นอกจากการพัฒนาในด้านบริการเพื่อสุขภาพแล้ว TUSCAN Senses Spa ยังมีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน ด้วยการจ้างงานคนในท้องถิ่นและส่งเสริมการใช้วัตถุดิบสมุนไพร ผัก และผลไม้จากเกษตรกรในพื้นที่มาใช้ในบริการสปาและอาหาร
ในระดับโครงสร้างเศรษฐกิจ ภาครัฐโดย อรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ปี 2568 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุถึง 14.4 ล้านคน หรือมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด และจะเพิ่มเป็น 28% ในปี 2578 ส่งผลให้สินค้าและบริการเพื่อผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในกลุ่ม Wellness มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า ในปี 2566-2571 ธุรกิจ Wellness ทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 7.3% ต่อปี สูงกว่าอัตรา GDP โลกที่คาดไว้ที่ 4.8% ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของตลาดนี้ที่มีมูลค่ารวมอาจแตะ 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2571

ธุรกิจ Wellness ในไทยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่แล้วถึง 28,807 ราย เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 11.5% มีทุนจดทะเบียนกว่า 362,195 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมของธุรกิจนี้ในปี 2566 สูงถึง 1.13 ล้านล้านบาท และยังเติบโตต่อเนื่องทุกปี
สำหรับธุรกิจดูแลผู้สูงอายุโดยเฉพาะ มีนิติบุคคลดำเนินการอยู่ 776 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 4,236 ล้านบาท และสร้างรายได้ในปี 2566 อยู่ที่ 1,295 ล้านบาท
ในมุมมองของ ชำนาญ ศรีสวัสดิ์ อดีตประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ชี้ว่าการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในอนาคต ต้องอาศัยการส่งเสริมอุตสาหกรรม Wellness และ Medical Hub เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง ซึ่งมีกำลังจ่ายสูง หากสามารถดึงดูดเพียง 10% ของกลุ่มนี้ได้ ก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้อย่างมหาศาล
การเติบโตของอุตสาหกรรม Wellness ไทยในวันนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่ “กระแส” แต่เป็น “โอกาสจริง” ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยระยะยาว และยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวสู่คุณภาพอย่างยั่งยืน
ข้อมูล : thestandard