สถานการณ์โครงข่ายโทรคมนาคมไทยในปัจจุบันกำลังสะท้อนถึงคำเตือนในอดีตที่เริ่มกลายเป็นความจริง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา เครือข่ายของ “ทรู” เกิดเหตุล่มครั้งใหญ่ ส่งผลให้ผู้ใช้งานในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ไม่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ต หรือโทรศัพท์ได้ตามปกติ เหตุการณ์นี้ไม่เพียงกระตุ้นความไม่พอใจของผู้บริโภค แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบโทรคมนาคมไทย ซึ่งขณะนี้เหลือผู้ให้บริการรายใหญ่เพียงสองรายเท่านั้น และผู้บริโภคกลายเป็นผู้ที่ต้องแบกรับผลกระทบโดยตรง
จุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์นี้ย้อนกลับไปยังการตัดสินใจสำคัญของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 หลังจากการประชุมนัดพิเศษ กสทช. มีมติเสียงข้างมาก “รับทราบ” การควบรวมกิจการระหว่างทรู และดีแทค พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขและมาตรการเฉพาะ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคม
มติครั้งนั้นผ่านจากคะแนนเสียงที่เสมอกัน 2 ต่อ 2 โดยมีกรรมการ 1 คนงดออกเสียง ทำให้ประธานที่ประชุมใช้อำนาจตามข้อ 41 ของข้อบังคับการประชุม กสทช. พ.ศ. 2555 ลงคะแนนเสียงชี้ขาด (หรือที่เรียกกันว่า “ดับเบิลโหวต”) กลายเป็นเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2
ก่อนหน้าการควบรวม นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา อดีต ประธานอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ กสทช. ได้เคยอธิบายว่า หาก กสทช. พิจารณาว่ามีอำนาจอนุญาตให้ควบรวม ก็ต้องออกมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างชัดเจน เพราะการควบรวมดังกล่าวจะลดจำนวนผู้ให้บริการหลักจาก 3 ราย เหลือเพียง 2 ราย ไม่สามารถนับรวม “บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)” หรือ NT ได้ เนื่องจากมีส่วนแบ่งตลาดไม่ถึง 5%
“การควบรวมจะลดการแข่งขันในอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมอย่างรุนแรง นำไปสู่สภาพกึ่งผูกขาด ทำให้อำนาจการต่อรองอยู่ในมือของผู้ประกอบการมากกว่าผู้บริโภค ซึ่งส่งผลให้ค่าบริการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่คุณภาพบริการอาจลดลง” นพ.ประวิทย์กล่าว
ในทำนองเดียวกัน ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ก็เคยแสดงความเห็นต่อกรณีนี้ว่า แม้ทรูและดีแทคจะเรียกความร่วมมือนี้ว่า “Eco Partner” แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว นี่คือการควบรวมกิจการอย่างชัดเจน
“ถ้าตลาดเหลือผู้ประกอบการเพียง 2 ราย แปลว่าตลาดจะถอยหลังกลับไปก่อนปี 2547 เราดูอนาคต ได้จากประวัติในอดีต ตอนนั้นมีผู้ให้บริการเพียง 2 รายคือ เอไอเอส และดีแทค ก่อนจะมีผู้ประกอบการรายที่ 3 คือ ทรูมูฟ ทำให้บริการไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้บริโภคเท่าไรนัก เช่น การล็อค IMEI, ค่าบริการสูง และมีการบังคับขายพ่วงติดมาด้วย
เพราะฉะนั้นหากเกิดการควบรวม แล้วตลาดย้อนกลับไปเป็นแบบก่อนปี 2547 อาจมีผลต่อราคาค่าบริการ คุณภาพการให้บริการ และการขายพ่วงลักษณะต่างๆ ซึ่งอาจไม่เป็นประโยชน์กับผู้บริโภค เมื่อเทียบกับผู้บริโภคมีสิทธิ์เลือกได้มากกว่าเมื่อมีผู้ประกอบการ 3 ราย”
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองเห็นพ้องกันว่า หากปล่อยให้การควบรวมเกิดขึ้นโดยไม่มีมาตรการกำกับที่เข้มงวด ผู้บริโภคจะเสียประโยชน์จากการขาดตัวเลือก การแข่งขันจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และตลาดอาจถดถอยในเชิงสิทธิและคุณภาพบริการ ทั้งนี้ สะท้อนถึงความจำเป็นที่ภาครัฐ โดยเฉพาะ กสทช. ต้อง กำกับดูแลอย่างเข้มงวด และคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะมากกว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจของเอกชนรายใหญ่
เหตุการณ์เครือข่ายล่มเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ซึ่งทรูระบุว่าเกิดจากระบบไฟฟ้าขัดข้องที่ศูนย์โครงข่ายหลัก ยิ่งตอกย้ำความกังวลนั้น ผู้ใช้จำนวนมากไม่พอใจกับมาตรการเยียวยา และสิ่งที่น่าห่วงคือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดปัญหากับเครือข่ายของทรู
ดร.สมเกียรติ ชี้ว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ และหลายครั้งที่ผ่านมา สะท้อนถึงความบกพร่องของตลาดโทรคมนาคมที่เหลือผู้เล่นน้อยเกินไป ส่งผลให้คุณภาพและความถี่ของเหตุขัดข้องเพิ่มขึ้น ในขณะที่ตัวเลือกของผู้บริโภคลดลงอย่างชัดเจน
TDRI จึงเสนอว่ารัฐบาลควร ฟื้นฟูการแข่งขันในตลาด (re-regulate) ด้วยการเปิดเสรีให้ผู้ให้บริการรายใหม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้ โดยเชื่อว่าจะช่วยลดค่าบริการ เพิ่มคุณภาพ และเสริมความมั่นคงด้านโครงสร้างพื้นฐานไอซีทีของประเทศ นอกจากนี้ กสทช. ควรมีบทบาทกำกับดูแลอย่างเข้มงวดมากขึ้น กำหนดมาตรฐานสากล ลงโทษตามความรุนแรงและระยะเวลาของเหตุขัดข้อง และหากเกิดซ้ำซากหรือมีผลกระทบวงกว้างควรมีบทลงโทษที่ชัดเจน เช่นเดียวกับกรณีที่ประเทศออสเตรเลียเคยปรับบริษัท Optus ในปี 2022 จากเหตุขัดข้องของระบบ
เหตุการณ์ล่าสุดจึงไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิค แต่เป็นเครื่องยืนยันถึงผลกระทบจากโครงสร้างตลาดโทรคมนาคมที่ขาดการแข่งขัน ผู้บริโภคไทยจึงต้องเผชิญกับความเสี่ยงทั้งในด้านค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และคุณภาพบริการที่ไม่แน่นอน
