สินค้าจีนทะลัก-ศูนย์เหรียญครองเมือง ฉุดภาคผลิตไทยทรุด

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตซ้อนซับในภาคการผลิตและส่งออก เมื่อมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของ สหรัฐฯ ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมไทยในหลายกลุ่มสินค้า ขณะเดียวกัน สินค้าราคาถูกจาก จีน ไหลทะลักเข้าประเทศมากขึ้น ประกอบกับปัญหา สินค้าสวมสิทธิ และ ธุรกิจศูนย์เหรียญ ที่กำลังกัดกร่อนศักยภาพของ SME ไทย ทั้งระบบ กลายเป็นความท้าทายสำคัญในปี 2568 ที่รัฐบาลไทยต้องเร่งรับมืออย่างเป็นรูปธรรม

อภิชิต ประสพรัตน์ รองประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ระดับ 89.9 ลดลงจาก 91.8 ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากภาคการผลิตชะลอตัวจากวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ และปัจจัยลบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่เริ่มส่งผลต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาษีนำเข้าสินค้าเฉพาะกลุ่ม (Sectoral Tariff) อาทิ อะไหล่ยนต์ เหล็ก อะลูมิเนียม และภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (AD/CVD) ในสินค้า แผงโซลาร์เซลล์ สูงถึง 375%

ภายใต้สถานการณ์นี้ มีการเร่งนำเข้าสินค้าจาก สหรัฐฯ เพื่อป้องกันปัญหาหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทาน หลังสหรัฐฯ ชะลอการบังคับใช้ภาษี Reciprocal Tariff ออกไป 90 วัน ซึ่งจะสิ้นสุดต้นเดือนกรกฎาคม 2568 ขณะเดียวกันการส่งออกของไทยยังเผชิญแรงกดดัน โดยเฉพาะในกลุ่ม รถยนต์ ที่มีตัวเลขลดลง -9.36% YoY ในเดือนมีนาคม

อย่างไรก็ตาม ความกังวลสำคัญที่ ส.อ.ท. ชี้เป้าคือการที่สินค้านำเข้าจาก จีน เพิ่มขึ้น 20.07% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ม.ค.–มี.ค. 2568) ซึ่งไม่เพียงแข่งขันด้านราคา แต่ยังมีพฤติกรรม สวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้าไทย เพื่อเลี่ยงมาตรการภาษีของประเทศที่สาม ส่งผลให้สินค้าเหล่านี้สามารถส่งออกผ่านไทยได้ในอัตราภาษีต่ำ กระทบต่อผู้ผลิตไทยโดยตรง

แสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์ SME ไทย กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับ “มหกรรมศูนย์เหรียญ” หรือการเข้ามาดำเนินธุรกิจของทุนต่างชาติในรูปแบบที่ไม่ก่อให้เกิดการจ้างงานหรือสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ซึ่งประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

  • โรงงานศูนย์เหรียญ
  • ท่องเที่ยวศูนย์เหรียญ (ที่พัก โรงแรม ร้านอาหาร ทัวร์)
  • โลจิสติกส์ศูนย์เหรียญ

ธุรกิจเหล่านี้ส่วนใหญ่ดำเนินการผ่าน นอมินี หรือทุนเทาต่างชาติ ที่ร่วมมือกับผู้ประกอบการไทยบางรายและเจ้าหน้าที่รัฐบางหน่วยงานบางราย สร้างเครือข่ายเศรษฐกิจนอกระบบ ทั้งยังมีการนำเข้าสินค้า ไร้มาตรฐาน ไร้ภาษี และละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เข้ามาจำหน่ายในตลาดภายในประเทศ ซึ่งกำลังกลืนกินตลาดของ SME ไทย ทั้งระบบ

ภาคเกษตรไทยก็ไม่รอดพ้น สวนผลไม้ โดยเฉพาะ ทุเรียน กำลังถูกผูกขาดโดย ล้งต่างชาติ ที่เข้ามาควบคุมตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ทำให้ไทยสูญเสียความมั่นคงทางอาหารในอนาคต เช่นเดียวกับภาคค้าปลีก ที่ถูกเบียดจาก ทุนใหญ่ในและต่างประเทศ ส่งผลให้ร้านโชห่วยและ SME กว่า 410,000 ราย เสี่ยงถูกกลืนหาย

นอกจากนี้ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (SME GP) ยังมีความกังวลว่าจะถูกแทรกแซงโดย นอมินีทุนต่างชาติ รวมถึงการพึ่งพาแพลตฟอร์มออนไลน์ข้ามชาติที่ไม่ส่งเสริมสมดุลทางการค้าออนไลน์ของคนไทย ทั้งในด้าน e-Commerce, บริการท่องเที่ยว, และ ซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชัน ต่างๆ

ด้านความคืบหน้าการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ยังอยู่ในช่วงของการประเมินสถานการณ์และรวบรวมข้อมูล โดยไทยหวังใช้ช่วงเวลานี้สร้างฉากทัศน์การเจรจาที่จะเอื้อประโยชน์ในระยะยาว โดยประเมินว่า สหรัฐฯ อาจปรับลดอัตราภาษีของไทยให้อยู่เฉลี่ยราว 10% ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันต่อภาคส่งออกได้บางส่วน

อย่างไรก็ดี หากการบริหารจัดการความเสี่ยงทางเศรษฐกิจล้มเหลว จะส่งผลให้ GDP ไทยปีนี้เติบโตต่ำกว่า 2% โดยเฉพาะหาก SME ไทย ไม่สามารถปรับตัวรับมือกับสินค้านำเข้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหา การเลิกจ้างแรงงาน และ การปิดกิจการ อาจตามมาในวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อประชาชนในระดับฐานราก

ส.อ.ท. และ สมาพันธ์ SME ไทย เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งจัดตั้ง “ศูนย์ให้คำปรึกษา SME” เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยให้สามารถแข่งขันได้ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว และสนับสนุนการใช้สินค้า Made in Thailand เพื่อรักษาอธิปไตยทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพของผู้ประกอบการไทยในระยะยาว

ข้อมูล : thestandard