กรุงเทพฯครองแชมป์ยอดค้างหนี้ กยศ. สูงสุดในประเทศ

เมื่อเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยสถิติผู้กู้ที่ค้างชำระหนี้มากที่สุด พบว่า กรุงเทพมหานคร ครองอันดับหนึ่งด้วยจำนวน 129,146 บัญชี ขณะที่กลุ่มอายุ 30-39 ปี เป็นช่วงวัยที่มีการค้างชำระมากที่สุดถึง 1.13 ล้านบัญชี ทั้งนี้ การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่ กยศ. กำลังดำเนินการตาม พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ให้เป็นธรรมมากขึ้น โดยเปลี่ยนลำดับการชำระหนี้ ลดเบี้ยปรับ และคืนเงินให้กับผู้ที่ชำระเกิน รวมทั้งเตรียมเปิดใช้งานระบบและแอปพลิเคชันใหม่เพื่อรองรับการตรวจสอบยอดหนี้ที่แท้จริงได้สะดวกยิ่งขึ้น

กรุงเทพฯ-วัยทำงาน 30-39 ปี ค้างชำระหนี้ กยศ. มากสุด

น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข้อมูลจาก กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ว่าจังหวัดที่มีผู้ค้างชำระหนี้สูงที่สุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีบัญชีผู้กู้ค้างหนี้จำนวน 129,146 บัญชี ตามมาด้วย นครราชสีมา (78,816 บัญชี), นครศรีธรรมราช (77,687 บัญชี), ขอนแก่น (73,409 บัญชี) และ เชียงใหม่ (63,346 บัญชี)

ในด้านช่วงอายุ กลุ่มที่ค้างชำระหนี้มากที่สุดคือวัยทำงานอายุ 30-39 ปี มีจำนวนสูงถึง 1,132,339 บัญชี รองลงมาคือกลุ่มอายุ 40-49 ปี (675,184 บัญชี), 20-29 ปี (356,209 บัญชี), 50-59 ปี (25,906 บัญชี) และ มากกว่า 59 ปี (3,396 บัญชี) ซึ่งสะท้อนปัญหาหนี้การศึกษาที่กระทบต่อประชากรในช่วงวัยทำงานอย่างชัดเจน

กยศ. ปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ตามกฎหมายใหม่ ลดภาระผู้กู้

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นภายใต้ พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 ซึ่งมีสาระสำคัญคือการปรับลำดับการชำระหนี้เป็น “เงินต้น – ดอกเบี้ย – เบี้ยปรับ” แทนแบบเดิมที่คิดเบี้ยปรับก่อน พร้อมลดอัตราเบี้ยปรับจากเดิมสูงสุด 18% เหลือเพียง 0.5% เท่านั้น

โดยการคำนวณหนี้แบบใหม่นี้ ครอบคลุมผู้กู้จำนวนกว่า 3.5 ล้านราย และได้ดำเนินการแล้วประมาณ 70% หรือราว 2.3 ล้านราย ผู้กู้สามารถตรวจสอบยอดหนี้ใหม่ได้ที่เว็บไซต์ www.studentloan.or.th

คืนเงินให้ผู้กู้ที่จ่ายเกินกว่า 3,399 ล้านบาท

กยศ. ยังมีความคืบหน้าในการคืนเงินให้ผู้กู้ที่ชำระเงินเกินยอดตามระบบใหม่ โดยข้อมูล ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 มีจำนวนบัญชีที่จ่ายเกิน 286,362 บัญชี รวมเป็นเงินกว่า 3,399.13 ล้านบาท โดยได้คืนเงินไปแล้ว 2,528 บัญชี คิดเป็นมูลค่า 73.81 ล้านบาท และมีแผนทยอยคืนให้ครบภายใน เดือนกันยายน 2569

ผู้กู้ถูกหักเงินเดือนย้อนหลัง กยศ. มีแนวทางดูแล

จากการที่ กยศ. เริ่มหักเงินเดือนจากนายจ้างเพื่อชำระหนี้ค้างเก่า พบว่ามีผู้กู้ที่ถูกหักเพิ่มในเดือนเมษายน 490,225 ราย (510,716 บัญชี) และเดือนพฤษภาคมอีก 251,083 ราย (258,151 บัญชี) โดยเฉลี่ยหักเพิ่มรายละ 3,000 บาทต่อบัญชี ซึ่งสร้างภาระให้กับผู้กู้จำนวนมาก

เพื่อบรรเทาผลกระทบ กยศ. ได้แบ่งแนวทางดูแลเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
ผู้ที่ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แล้ว ให้ชำระหนี้งวดแรกด้วยตนเองและแจ้งนายจ้างไม่ให้หักเพิ่ม
ผู้ที่ยังไม่ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ หากไม่สามารถรับภาระการหักเพิ่มได้ ต้องยื่นขอปรับลดยอดหักเงินเดือนผ่านเว็บไซต์ กยศ. ภายในกำหนดเวลา

สิทธิพิเศษสำหรับผู้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้

ผู้กู้ที่เข้าทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ ทั้งในรูปแบบออนไลน์และเอกสาร จะได้รับสิทธิพิเศษหลายประการ เช่น

  • ปลดภาระผู้ค้ำประกันทันที
  • สามารถผ่อนชำระได้นานถึง 15 ปี หรือจนถึงอายุ 65 ปี
  • ได้รับส่วนลดเบี้ยปรับ 100% เมื่อชำระหนี้ครบงวดสุดท้าย

นอกจากนี้ ผู้กู้ที่อยู่ในช่วงปลอดหนี้หรือยังไม่ถูกดำเนินคดี และสามารถปิดบัญชีได้ในคราวเดียว จะได้รับ ส่วนลดเงินต้น 5-10% และ เบี้ยปรับ 100% โดยสามารถลงทะเบียนรับสิทธิได้ตั้งแต่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568

แอปพลิเคชันใหม่ของ กยศ. อยู่ระหว่างการพัฒนา

แม้ว่าแอปพลิเคชันเดิมอย่าง “กยศ. Connect” ยังไม่สามารถรองรับระบบใหม่ได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่ กยศ. กำลังพัฒนาแอปเวอร์ชันใหม่ เพื่อให้ผู้กู้สามารถตรวจสอบยอดหนี้ตามโครงสร้างใหม่ได้สะดวกและแม่นยำยิ่งขึ้นผ่านช่องทางดิจิทัล

ข้อมูล : sanook