การที่นิสสัน มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 3 ของญี่ปุ่น ประกาศเตรียมปลดพนักงานเพิ่มอีกกว่า 10,000 คนทั่วโลก — สะท้อนแรงสั่นสะเทือนลึกในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากยุครถน้ำมันสู่ยุคไฟฟ้า ท่ามกลางต้นทุนพุ่ง แรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ตัวเลขปลดพนักงานนี้ไม่เพียงแต่ชี้ถึงภาวะขาดทุนของบริษัท แต่ยังสะท้อนความเปราะบางของตลาดแรงงานในภาคอุตสาหกรรมที่เคยเป็น “หัวรถจักร” ของเศรษฐกิจโลก
อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งจากการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า (EV), การเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบ, และการกดดันจากภาครัฐให้ลดการปล่อยคาร์บอน ในขณะเดียวกัน ความต้องการของตลาดหลัก เช่น สหรัฐ จีน และยุโรป ก็เริ่มชะลอตัวจากเศรษฐกิจโลกที่เติบโตต่ำ ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าอาจช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกญี่ปุ่น แต่ก็ไม่สามารถชดเชยต้นทุนการปรับตัวด้านเทคโนโลยีได้อย่างมีนัยสำคัญ
ในกรณีของนิสสัน ความเปราะบางนี้ยิ่งเด่นชัด จากการสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดในสหรัฐ ความล่าช้าในการพัฒนาเทคโนโลยีไฮบริดและไฟฟ้า และผลกระทบจากการบริหารงานภายหลังวิกฤตคาร์ลอส กอส์น ซึ่งยังคงหลอกหลอนองค์กร
นิสสันเคยเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกรถยนต์พลังงานทางเลือกด้วยรุ่น Leaf ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ปี 2010 แต่กลับตามไม่ทันในช่วงหลังที่ผู้เล่นรายใหม่อย่าง Tesla และ BYD เร่งเครื่องแซงโค้ง ขณะที่บริษัทอื่นในญี่ปุ่น เช่น โตโยต้า และ ฮอนด้า ต่างเร่งลงทุนด้านเทคโนโลยี EV และไฮบริดอย่างต่อเนื่อง
การประกาศปลดพนักงาน 10,000 คนรอบใหม่ ทำให้ยอดรวมทะลุ 20,000 คนในเวลาไม่ถึงสองปี และยังมีแนวโน้มว่าอาจต้องลดกำลังการผลิตต่อไปจากเดิมที่หั่นไปแล้ว 20% ความเคลื่อนไหวนี้ไม่ใช่แค่ “ปรับโครงสร้าง” แต่คือ “ดิ้นรนเอาตัวรอด” ท่ามกลางตัวเลขขาดทุนสุทธิระดับ 750,000 ล้านเยน — ซึ่งจะกลายเป็นจุดต่ำสุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท
เบื้องหลังตัวเลขปลดพนักงานนับหมื่นชีวิตคือครอบครัวนับแสนที่ได้รับผลกระทบ ไม่ใช่เฉพาะในญี่ปุ่น แต่กระจายไปยังโรงงานและสำนักงานของนิสสันในประเทศต่าง ๆ รวมถึงสหรัฐ อังกฤษ อินเดีย และแม้แต่ไทยที่เป็นฐานการผลิตหลักแห่งหนึ่ง
สำหรับเศรษฐกิจไทย การลดกำลังผลิตอาจกระทบซัพพลายเชนและแรงงานในนิคมอุตสาหกรรม เช่น อมตะนคร หรือบางปะอิน ที่มีแรงงานจำนวนมากพึ่งพาอุตสาหกรรมยานยนต์ บริษัทคู่ค้า SME ที่ผลิตชิ้นส่วนก็เสี่ยงต่อยอดคำสั่งซื้อลดลง และต้องปรับตัวในสภาวะที่กำไรเบาบางอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น คลื่นปลดคนจากยักษ์ใหญ่อย่างนิสสัน ยังสะท้อนความเสี่ยงด้านการจ้างงานในภาคการผลิตทั่วโลก ซึ่งอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่กินเวลาอีกหลายปี
การประกาศปลดพนักงานครั้งใหญ่ของนิสสันคือสัญญาณเตือนว่าภาคอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมกำลังเดินเข้าสู่ “ยุคเปลี่ยนผ่าน” ที่เจ็บปวดและต้องใช้เวลาปรับตัว บริษัทที่ไม่สามารถเร่งลงทุนในนวัตกรรมและลดความซับซ้อนในการผลิตอาจตกขบวนได้ในไม่ช้า
ในระยะสั้น นิสสันอาจยังสามารถประคองตัวได้จากตลาดเกิดใหม่และการปรับลดต้นทุน แต่ในระยะกลางถึงยาว หากยังไม่สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่โดนใจและแข่งขันในตลาด EV ได้ ก็เสี่ยงต่อการถูกเบียดตกจากเวทีโลก
สำหรับประเทศที่เป็นฐานการผลิตของนิสสัน เช่น ไทย จำเป็นต้องเตรียม “แผนรองรับ” ทั้งด้านการฟื้นฟูแรงงาน และการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม เพื่อไม่ให้ความเปลี่ยนแปลงของบริษัทหนึ่ง สั่นคลอนทั้งเศรษฐกิจ