แรงเสียดทานในรองเท้า: เมื่อกำแพงภาษีกลายเป็นด่านหินของอุตสาหกรรมแฟชั่น

Nike, adidas นำทัพ 76 แบรนด์ดังสหรัฐฯ ร้องขอ “ยกเว้นภาษีทรัมป์” หวั่นอุตสาหกรรมรองเท้าล่มสลาย ผู้บริโภครองเท้าราคาประหยัดจ่อรับเคราะห์ซ้ำ

เสียงเตือนจากพื้นรองเท้า: เมื่ออุตสาหกรรมรองเท้าเผชิญภาวะคับขัน

การเติบโตของอุตสาหกรรมแฟชั่นในสหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงเสียดทานจากนโยบายการค้าของรัฐบาลทรัมป์ โดยเฉพาะ “กำแพงภาษีตอบโต้” ที่ถูกขยายผลในวงกว้าง ครอบคลุมสินค้านำเข้าหลายรายการ รวมถึงรองเท้าทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าผ้าใบแฟชั่น ไปจนถึงรองเท้าเด็ก

แบรนด์รองเท้ายักษ์ใหญ่ 76 ราย รวมตัวกันผ่านสมาคม FDRA ส่งเสียงเตือนต่อทำเนียบขาวว่า นโยบายภาษีในอัตราสูงถึง 220% อาจไม่ใช่แค่ “ภาระต้นทุน” แต่คือ “ภัยคุกคามต่อการอยู่รอด” ของอุตสาหกรรมนี้โดยตรง — และผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นลำดับแรกคือ ครอบครัวรายได้น้อยที่กำลังต้องจ่ายแพงขึ้น…เพียงเพื่อได้สวมรองเท้า


ฉากหลังของสงครามภาษี: เมื่อการเมืองกลายเป็นตัวแปรต้นทุน

ต้นตอของวิกฤตครั้งนี้อยู่ที่นโยบาย “Reciprocal Tariffs” ของรัฐบาลทรัมป์ ที่พยายามกดดันคู่ค้าให้ลดกำแพงภาษีต่อสินค้าสหรัฐฯ โดยใช้วิธีขึ้นภาษีสินค้านำเข้าตอบโต้ ซึ่งมีทั้งจีน เวียดนาม และกัมพูชา — สามชาติเสาหลักของการผลิตรองเท้าทั่วโลก

ในขณะที่อัตราภาษี “จริง” สำหรับสินค้ารองเท้าจากจีนทะลุ 145% แล้ว และคาดว่าจะสูงถึง 220% หากมาตรการเต็มรูปแบบบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคม อุตสาหกรรมที่อาศัยห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศอย่างลึกซึ้งเช่นรองเท้า จึงต้องรับผลกระทบโดยตรงและเฉียบพลัน


เบื้องหลังตัวเลข: “ค่าใช้จ่าย” ที่ไม่สามารถผลักไปหาผู้บริโภคได้เสมอไป

หากพิจารณาเชิงลึก อุตสาหกรรมรองเท้าในสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่แบกรับภาระภาษีสูงเป็นทุนเดิม โดยเฉพาะสินค้าสำหรับเด็กและครอบครัว แม้ก่อนสงครามภาษีจะเริ่ม เช่น รองเท้าเด็กบางรุ่นถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 48% ซึ่งสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่นหลายเท่าตัว

การขึ้นภาษีรอบล่าสุดจึงเท่ากับการ “ซ้ำเติม” ธุรกิจที่กำลังพยายามประคองตัวอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน โดยเฉพาะบริษัทขนาดกลางและเล็กที่ไม่สามารถย้ายฐานการผลิตได้เร็ว หรือมีอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์จำกัด

FDRA เตือนว่า บริษัทเหล่านี้ “ไม่สามารถผลักภาระต้นทุนไปที่ผู้บริโภคได้ทั้งหมด” และหากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย “จะไม่มีทางเลือกนอกจากปิดตัวลง”


ผลกระทบต่อผู้บริโภค: รองเท้ากลายเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยสำหรับคนจน?

ผลกระทบไม่ได้หยุดแค่ภาคธุรกิจ เพราะต้นทุนที่สูงขึ้นสุดขีดย่อมแปรเปลี่ยนเป็นราคาขายที่สูงขึ้น โดยเฉพาะรองเท้าราคาย่อมเยาที่เป็นสินค้า “จำเป็นแต่ไม่เร่งด่วน” สำหรับผู้บริโภคฐานล่าง

รองเท้าที่เคยขาย 30 ดอลลาร์ อาจขยับขึ้นเป็น 45-50 ดอลลาร์ในเวลาไม่กี่เดือน — ต่างจากผู้บริโภครายได้สูงที่ยังสามารถเข้าถึงแบรนด์หรูได้เหมือนเดิม การขึ้นราคานี้จึงมีนัยยะ “ย้อนแย้ง” กับเป้าหมายของนโยบายรัฐบาลที่อ้างว่าเพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศ

หากมองลึกลงไป ย่อมสะท้อนภาพความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ยิ่งขยายตัว เมื่อคนจนต้องจ่ายแพงกว่าที่ควร…เพื่อความจำเป็นพื้นฐานอย่างรองเท้า


แนวโน้มข้างหน้า: โมเดลธุรกิจ vs. นโยบายการเมือง

สิ่งที่อุตสาหกรรมร้องขอ ไม่ใช่แค่ “ลดภาษี” แต่คือ “เสถียรภาพในการตัดสินใจ” เพราะการย้ายฐานการผลิต ไม่สามารถทำได้ใน 3 เดือน หรือแม้แต่ครึ่งปี ต้องใช้การลงทุนขนาดใหญ่ ความชัดเจนของนโยบาย และการประเมินต้นทุนในระยะยาว

ในขณะที่รัฐบาลทรัมป์ยังคงใช้นโยบายการค้าดุเดือดเป็นเครื่องมือทางการเมือง โอกาสที่บริษัทเหล่านี้จะปรับตัวทันดูเหมือนจะริบหรี่ลงทุกขณะ

หากไม่มีการผ่อนปรน หรืออย่างน้อยการวางโรดแมปที่ชัดเจน ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจไม่ใช่แค่ “รองเท้าขาดตลาด” แต่รวมถึงการสูญเสียการจ้างงานนับหมื่นตำแหน่ง และความเสียหายต่อห่วงโซ่อุปทานโลกที่เกี่ยวพันกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยตรง


ภาระภาษีนำเข้ารองเท้า: ก่อนและหลังมาตรการ

ประเภทสินค้าอัตราภาษีเดิมอัตราภาษีใหม่ (Effective)
รองเท้าเด็ก48%150-220%
รองเท้าผ้าใบ20-25%สูงสุด 180%
รองเท้าจากจีนเฉลี่ย 37%สูงสุด 145%

ที่มา: FDRA (2025)

ข้อมูล :thestandard