เบื้องลึก กสทช. ย้อนรอยผลกระทบเศรษฐกิจ สู่มหากาพย์ฟ้องร้อง “ประธาน กสทช.” ในศาลปกครอง

ในฐานะ กลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ของประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เผชิญความท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อมิติทางเศรษฐกิจและเกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะประเด็นการบริหารจัดการงบประมาณและความขัดแย้งภายในที่บานปลายสู่การฟ้องร้องทางกฎหมาย.

ย้อนรอยผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการบริหารงานในอดีต:

หนึ่งในประเด็นทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นคือ การตัดสินใจนำเงินจากกองทุน กทปส. ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะและสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการอย่างทั่วถึง, จำนวนประมาณ 1,600 ล้านบาท ( ultimately using 600 ล้านบาท) ไปใช้ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022. นักวิชาการสื่อได้คัดค้าน โดยมองว่าเป็นการใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อกีฬาวันสั้นๆ ขัดต่อวัตถุประสงค์กองทุน. มีความกังวลว่าอาจทำให้งานวิจัยชะงักงันกระทบการพัฒนาเศรษฐกิจ และมีประเด็นน่าห่วงเรื่องการ เอื้อประโยชน์แก่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง. แม้ใช้งบถึง 600 ล้านบาทเพื่อให้คนไทยดูฟรี, ท้ายสุดกลับเกิดปัญหา “จอดำ”.

ย้อนอดีตสู่การฟ้องร้องในปัจจุบัน:

ปัญหาการบริหารงานและผลกระทบเศรษฐกิจนี้นำมาสู่การตรวจสอบภายใน. คณะอนุกรรมการที่ตั้งขึ้นพบข้อบ่งชี้ว่า นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการเลขาธิการ กสทช. อาจกระทำผิดกฎหมายและมติ กสทช. เกี่ยวข้องกับเรื่องค่าลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก. ที่ประชุม กสทช. เสียงข้างมากจึงมี มติให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยและให้เปลี่ยนตัวรักษาการเลขาธิการฯ โดยแต่งตั้ง ผศ.ภูมิศิษฐ์ มหาเวศน์ศิริ แทน. อย่างไรก็ตาม ประธาน กสทช. (ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์) ไม่ลงนามในคำสั่งตามมติดังกล่าว. เหตุนี้เอง กรรมการ กสทช. 4 ราย จึงได้ยื่นฟ้องประธาน กสทช. ต่อศาลปกครองกลาง ในข้อหา ละเลยต่อหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ.

ล่าสุด ‘ตุลาการผู้แถลงคดี’ ชี้ ‘สรณ’ ละเลยหน้าที่ เมิน ‘มติ กสทช.’ เปลี่ยน ‘รักษาการเลขาฯ’ – สอบวินัย:

ในการพิจารณาคดีล่าสุด, ตุลาการผู้แถลงคดี ซึ่งมีบทบาทตรวจสอบและถ่วงดุลการทำหน้าที่ ได้แถลงสรุปสาระสำคัญว่า การที่ประธาน กสทช. ไม่ปฏิบัติตามมติ กสทช. ในการประชุมวันที่ 9 มิ.ย. 2566 ซึ่งได้แก่ ไม่ลงนามคำสั่งตั้งกรรมการสอบวินัยนายไตรรัตน์ และ ไม่ลงนามคำสั่งเปลี่ยนตัวรักษาการฯ รวมถึง ไม่แต่งตั้งนายภูมิศิษฐ์เป็นรักษาการฯ แทน และ มีคำสั่งยกเลิกคณะกรรมการสอบวินัย นั้น ถือเป็น การละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่. เหตุผลสำคัญคือ กสทช. เป็นองค์กรกลุ่ม เมื่อคณะกรรมการมีมติ ย่อมมี ผลผูกพันให้ต้องปฏิบัติตาม. ประธานกรรมการไม่สามารถตัดสินใจแทนกรรมการทั้งหมดได้ และกรรมการคนใดคนหนึ่งก็ทำแทนคณะกรรมการทั้งหมดไม่ได้ เว้นแต่จะมีการมอบหมาย.

นอกจากนี้ ตุลาการผู้แถลงคดียังชี้ว่า การที่ประธาน กสทช. ไม่แต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยนายไตรรัตน์ ทั้งที่คณะอนุกรรมการฯ ชี้ว่าอาจกระทำผิด และต่อมายัง เห็นชอบให้ยุติเรื่องการสอบวินัย รวมถึงการ ไม่ดำเนินการถอดถอนนายไตรรัตน์ ออกจากตำแหน่งรักษาการฯ ตามมติ กสทช. และ ไม่แต่งตั้งนายภูมิศิษฐ์ เป็นรักษาการฯ แทน แม้มีการแจ้งเตือนถึง 2 ครั้ง ล้วนเป็นการ ละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด. ระเบียบ กสทช. กำหนดชัดว่าการแต่งตั้งหรือถอดถอนรักษาการแทนเลขาธิการฯ ต้องได้รับความเห็นชอบจาก กสทช.. เมื่อมีมติแล้ว ประธานย่อมมีหน้าที่ปฏิบัติตาม.

ตุลาการผู้แถลงคดีได้เสนอต่อศาลฯ ให้มีคำสั่งให้ดำเนินการ ถอดถอนนายไตรรัตน์ ออกจากตำแหน่งรักษาการฯ และ ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัย ภายใน 60 วัน. ส่วนกรณีของนายภูมิศิษฐ์ เมื่อเกษียณอายุไปแล้วจึงไม่มีเหตุต้องออกคำบังคับ. ความเห็นของตุลาการผู้แถลงคดีนี้ แม้ไม่ใช่คำพิพากษา แต่กฎหมายกำหนดให้เผยแพร่สู่สาธารณะ.

ล่าสุด ในส่วนของความเคลื่อนไหวจากภาคประชาชน สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภคแสดงความเห็น เห็นด้วย 1000% และระบุว่า นี่คือ ความสูญเสียของผู้บริโภค เป็นประธานมาจากด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ส่งเรื่องให้แก้ปัญหา เข้าพบให้ดำเนินการ นำเสนอ ประท้วง ไม่ทำอะไร ใครจะทำอะไรได้ นี่คือประธานกสทช.

ขณะที่คำตัดสินสุดท้ายของศาลปกครองกลางในมหากาพย์นี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา แต่ไม่ว่าจะออกมาในทิศทางใด ย่อมส่งผลต่อโครงสร้างและศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

<strong>คำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี สรุปสาระสำคัญได้ 5 ประเด็น ดังนี้</strong>

อ้างอิง : ‘ตุลาการผู้แถลงคดี’ชี้’สรณ’ละเลยหน้าที่ เมิน’มติ กสทช.’เปลี่ยน‘รักษาการเลขาฯ’-สอบวินัย