ทำไมหมูแพงขึ้นนัก? ชาวบ้านฟังทางนี้ มีคำตอบ

ช่วงนี้หลายคนคงบ่นอุบกับราคาหมูที่แพงขึ้นผิดหูผิดตา โดยเฉพาะ หมูสามชั้น ที่บางที่ราคาพุ่งไปถึง กิโลกรัมละ 220 บาท แล้ว ไม่ใช่แค่หมูเท่านั้นที่แพงขึ้น ไข่ไก่ ก็ปรับราคาขึ้นด้วย ทำเอาหลายคนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาหมูแพงขึ้น:

  • ผลผลิตหมูลดลงจากสภาพอากาศร้อน: อุณหภูมิที่สูงขึ้นในช่วงฤดูร้อนส่งผลให้หมูโตช้า และบางส่วนตายก่อนถึงวัยที่สามารถจำหน่ายได้. ปริมาณหมูในระบบปัจจุบันจึงลดลงประมาณ 2.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า. นอกจากนี้ อากาศร้อนยังส่งผลกระทบต่อการออกไข่ของไก่ ทำให้ไข่ไก่มีจำนวนน้อยลงและอาจมีขนาดเล็กลงด้วย.
  • ต้นทุนการเลี้ยงหมูที่สูงขึ้น: ราคาอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพดอาหารสัตว์ (+2.3%) และถั่วเหลือง (+3.1%) ปรับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจน. เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูจึงต้องแบกรับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น. ภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้เกษตรกรบางรายตัดสินใจหยุดเลี้ยงหมู หรือเลี้ยงในปริมาณที่น้อยลง. พ่อค้าขายหมูกล่าวว่า พวกเขาสู้ต้นทุนด้านอาหารไม่ไหว ทำให้ผู้เลี้ยงรายย่อยเลิกเลี้ยงหมูไปหมดแล้ว.
  • ความต้องการบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงเทศกาล: โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ความต้องการบริโภคหมูของประชาชนเพิ่มสูงขึ้นมาก. ร้านอาหาร, โรงแรม และตลาดสด มีความต้องการเนื้อหมูในปริมาณมาก ทำให้เกิดการแย่งชิงวัตถุดิบที่มีอยู่อย่างจำกัด ส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว.
  • โครงสร้างอุตสาหกรรมหมูที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากโรคระบาด: หลังจากเกิดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในช่วงปี 2563-2565 หลายฟาร์มยังไม่สามารถกลับมาเลี้ยงหมูได้เต็มระบบ. ผู้เลี้ยงรายเล็กบางรายยังประสบปัญหาขาดทุนสะสมและไม่มีเงินทุนเพียงพอที่จะลงทุนใหม่. การที่ผู้เลี้ยงรายย่อยยังไม่กล้ากลับมาเลี้ยงมากเหมือนเดิม ทำให้ปริมาณหมูโดยรวมในตลาดยังคงน้อยอยู่.
  • ราคาหมูหน้าฟาร์มปรับตัวสูงขึ้น: พ่อค้าแม่ค้าเขียงหมูระบุว่า ราคาหมูที่พวกเขาซื้อมาจากฟาร์มได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง. ในจังหวัดตรัง ราคาหมูหน้าฟาร์มปรับขึ้นกิโลกรัมละ 20 บาท ภายในระยะเวลาเดือนเศษๆ จากเดิม 68-70 บาท เป็น 92 บาท. สำหรับหมูหน้าฟาร์มขนาดทำหมูย่างก็ปรับขึ้นจาก 80 บาท เป็น 100 บาทต่อกิโลกรัม. การที่ฟาร์มต้นทางขึ้นราคา ทำให้ร้านค้าปลีกอย่างเขียงหมูและร้านอาหารก็จำเป็นต้องปรับราคาขายตามไปด้วย.

สถานการณ์ราคาหมูในปัจจุบัน (เมษายน 2568):

  • ราคาขายปลีกปรับตัวสูงขึ้นทุกส่วน: ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ณ วันที่ 21 เมษายน 2568 พบว่าราคาขายปลีกหมูชำแหละปรับขึ้นเมื่อเทียบกับต้นปี:
    • สันใน: จาก 170-180 บาท/กก. เป็น 185-190 บาท/กก.
    • สันนอก: จาก 160-165 บาท/กก. เป็น 175-180 บาท/กก.
    • สะโพก/ไหล่ (เนื้อแดง): จาก 140-160 บาท/กก. เป็น 170-180 บาท/กก. ราคาเนื้อแดงในตลาดโบ๊เบ๊ ขอนแก่น อยู่ที่ 180-190 บาท/กก. จากเดิม 150-160 บาท/กก..
    • สามชั้น: จาก 185-200 บาท/กก. เป็น 205-220 บาท/กก.. ที่ตลาดโบ๊เบ๊ ขอนแก่น ราคาหมูสามชั้นอยู่ที่ 200-210 บาท/กก.. ในจังหวัดตรัง ราคาหมูสามชั้นปรับขึ้นจาก 180 บาท เป็น 200-220 บาท/กก..
  • ราคาหมูหน้าฟาร์มก็ปรับตัวสูงขึ้น: ในเดือนเมษายน 2568 ราคาหมูหน้าฟาร์มเพิ่มขึ้นเป็น 75 บาท/กก. จาก 69 บาท/กก. ในปี 2566 หรือเพิ่มขึ้น 14.1%. ในจังหวัดตรัง ราคาหมูหน้าฟาร์มปรับขึ้นจาก 68-70 บาท เป็น 92 บาท/กก..
  • ไข่ไก่ก็ปรับราคาขึ้น: ราคาขายปลีกไข่ไก่ปรับขึ้นเฉลี่ยฟองละ 0.2 บาท ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน. ราคาขายปลีก ณ วันที่ 21 เมษายน 2568 สำหรับเบอร์ 1 อยู่ที่ 4.4-4.6 บาท/ฟอง. ที่อุทัยธานี ไข่ไก่เบอร์ 1 ปรับขึ้นจากแผงละ 125 บาท เป็น 130 บาท และเบอร์อื่นๆ ก็ปรับขึ้นในลักษณะเดียวกัน.

ผลกระทบที่ตามมา:

  • ผู้บริโภคต้องจ่ายเงินมากขึ้น: ราคาหมูที่สูงขึ้นส่งผลโดยตรงต่อค่าครองชีพของผู้บริโภค ทำให้ต้องจ่ายเงินมากขึ้นในการซื้อเนื้อหมู.
  • ผู้ประกอบการจำหน่ายหมูเดือดร้อน: พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสดต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น หากขึ้นราคามากเกินไปก็กลัวว่าจะเสียลูกค้าประจำ. บางรายอาจต้องแจ้งลูกค้าล่วงหน้าถึงสถานการณ์ราคา.
  • ผู้ประกอบการร้านอาหารได้รับผลกระทบ: ร้านอาหาร โดยเฉพาะร้านหมูกระทะและร้านอาหารตามสั่ง อาจต้องปรับราคาเมนู หรือลดปริมาณเนื้อหมูเพื่อรักษาต้นทุน. บางร้านอาจพิจารณาใช้เนื้อสัตว์ทางเลือกอื่นแทน เช่น ไก่ หรือปลา. ผู้ประกอบการร้านอาหารในจังหวัดนครราชสีมา (โคราช) รวมตัวกันร้องเรียน เนื่องจากหากเขียงหมูขึ้นราคา พวกเขาก็ต้องขึ้นราคาตาม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค และอาจทำให้ลูกค้าลดลง. ร้านราชาหมูตัก ซึ่งขายหมูกระทะแบบตักเป็นกิโล ก็ได้รับผลกระทบ แม้จะขายกิโลละ 169 บาท ซึ่งเป็นราคาตลาด แต่ต้นทุนรับมาก็สูงถึง 160 บาท ทำให้มีกำไรเพียง 9 บาทต่อกิโลกรัม และโดยรวมขาดทุนเดือนละเป็นหมื่นบาท.
  • เกษตรกรรายย่อยยังคงเผชิญความยากลำบาก: แม้ราคาขายหมูจะสูงขึ้น แต่ต้นทุนการเลี้ยงที่เพิ่มขึ้น (ค่าอาหารสัตว์, ยา, ค่าแรง) ทำให้เกษตรกรรายย่อยบางรายยังไม่มีกำไร หรือบางส่วนถึงขั้นต้องเลิกเลี้ยงไป.

แนวโน้มในอนาคต:

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าราคาหมูในเดือนเมษายน 2568 จะยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากปัจจัยเดิม. แม้ว่าสภาพอากาศจะคลี่คลายลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และปริมาณหมูในระบบจะทยอยเพิ่มขึ้น แต่คาดการณ์ว่าราคาหมูโดยเฉลี่ยทั้งปี 2568 จะยังคงสูงกว่าปีก่อนหน้า โดยราคาหมูเนื้อแดงอาจเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.7% และหมูสามชั้นอาจเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.8%.
  • มีความกังวลเกี่ยวกับแนวคิดของรัฐบาลที่จะนำเข้าสินค้าหมูจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติได้ยื่นหนังสือคัดค้าน โดยให้เหตุผลว่าอาจสร้างปัญหาให้กับผู้เลี้ยงสุกรไทยที่ยังไม่ฟื้นตัวจากโรคระบาดและการลักลอบนำเข้าหมู.

กรมการค้าภายในได้เตรียมการนัดประชุมด่วนกับตัวแทนกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร, ห้างค้าปลีก และค้าส่ง เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาราคาหมูที่พุ่งสูงขึ้น โดยอาจมีการพิจารณาเรื่องการควบคุมราคา หรือมาตรการลดต้นทุนให้กับผู้ผลิต. อย่างไรก็ตาม หากไม่มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรรายเล็กและการควบคุมต้นทุนอาหารสัตว์อย่างจริงจัง ราคาหมูอาจยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป.

<strong>ทำไมหมูแพงขึ้นนัก</strong>