สองรัฐมนตรีเศรษฐกิจของไทยเตรียมเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 17-21 เมษายนนี้ เพื่อเปิดการเจรจาในระดับลึกกับภาครัฐและภาคธุรกิจของสหรัฐฯ มุ่งสร้างความสมดุลทางการค้า พร้อมดันสินค้าเกษตร-อุตสาหกรรมไทยเข้าสู่ตลาดโลก ภายใต้หลักการเป็น “พันธมิตรสร้างสรรค์”
เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2568 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทย ได้มอบหมายให้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง และ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์ เป็นตัวแทน “ทีมไทยแลนด์” เดินทางเยือน สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 17-21 เมษายน 2568 เพื่อพบปะหน่วยงานรัฐ นักธุรกิจ และกลุ่มเกษตรกรอเมริกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างแต้มต่อด้านเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยในระยะยาว พร้อมวางรากฐานการเจรจาเชิงลึกในระดับทวิภาคีในอนาคต
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้สรุปประเด็นทางการค้าร่วมกับหน่วยงานรัฐและภาคเอกชน อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ สภาหอการค้าไทย ตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยมีการประมวลข้อมูลจากผู้ส่งออกและผู้นำเข้าในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม เพื่อกำหนดท่าทีการเจรจาที่ชัดเจน โดยยึดยุทธศาสตร์ “สร้างความสมดุลทางการค้าและเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน”
ในวันที่ 17 เมษายนนี้ คณะผู้แทนล่วงหน้าจะเดินทางถึงนคร ซีแอตเทิล เพื่อพบผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูป เกษตร และการลงทุน โดยในวันที่ 20 เมษายน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ จะเข้าร่วมภารกิจ และในวันที่ 21 เมษายน ทั้งคณะจะเข้าพบผู้แทนรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อเริ่มต้นการหารือระดับนโยบาย
คณะเจรจาเชื่อมั่นว่าการดำเนินงานภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์หลัก จะสามารถนำพาไทยสู่แนวทางการค้าที่สมดุลและยั่งยืน ดังนี้
1. การเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมที่เกื้อหนุนกัน
รัฐบาลเล็งเห็นโอกาสในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพ เช่น การแปรรูปอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งสามารถเสริมด้วยวัตถุดิบจากสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพดคุณภาพสูง ที่มีต้นทุนต่ำ ช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก
2. การเปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า
ภายใต้รายงาน National Trade Estimate 2025 ของสหรัฐฯ รัฐบาลไทยพร้อมพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าและบริหารโควตาสินค้าเกษตรอย่างยืดหยุ่น เช่น ข้าวโพด โดยไม่กระทบผู้ผลิตในประเทศ เพื่อสร้างระบบการค้าที่ “ยุติธรรม” และสอดคล้องกับกลไกตลาด
3. การเพิ่มการนำเข้าสินค้าจำเป็นจากสหรัฐฯ
ไทยเตรียมพิจารณานำเข้าสินค้าที่จำเป็นต่อภาคอุตสาหกรรมและไม่สามารถผลิตเองได้อย่างเพียงพอ เช่น ก๊าซธรรมชาติ, วัตถุดิบปิโตรเคมี และ เครื่องบินพาณิชย์ รวมถึงสินค้าเกษตรนำเข้าเช่น ชีส, ถั่ววอลนัท, แอปเปิ้ล และ เชอรี่ เพื่อเสริมดุลการค้าระหว่างสองประเทศ
4. การป้องกันการสวมสิทธิ์สินค้าจากประเทศที่สาม
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสหรัฐฯ ไทยจะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า ส่งเสริมมาตรฐานสินค้าไทยให้สอดคล้องตามหลักสากล ป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีผ่านการ “สวมสิทธิ์” จากประเทศที่สาม
5. การส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนไทยในสหรัฐฯ
รัฐบาลจะผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปภายในสหรัฐฯ โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่นเพื่อผลิตสินค้าส่งออกจากฐานการผลิตในอเมริกา ช่วยลดแรงต้านทางการค้าและสร้าง Value Chain ใหม่ที่ยั่งยืน
ภารกิจครั้งนี้ถือเป็นความพยายามครั้งสำคัญของรัฐบาลไทยในการสร้างบทบาทเชิงรุกทางเศรษฐกิจบนเวทีโลก โดยมีการบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา และได้รับความเห็นชอบจาก นายกรัฐมนตรี ซึ่งกำชับให้คณะเจรจาทำงานอย่างเต็มที่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว
ข้อมูล/ภาพ : mgronline