เกิดอะไรขึ้นกับ “เนสกาแฟ” ในประเทศไทย? เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ศาลแพ่งมีนบุรีได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้บริษัท เนสท์เล่ (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินการผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปภายใต้เครื่องหมายการค้า “Nescafé” ในประเทศไทย ข่าวดังกล่าวสร้างความตกตะลึงให้กับผู้บริโภค ร้านค้า และผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมกาแฟ เนื่องจาก “เนสกาแฟ” ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์กาแฟที่ได้รับความนิยมและมีส่วนแบ่งตลาดสูงในประเทศไทย.
ชนวนเหตุจากข้อพิพาททางธุรกิจ: คำสั่งศาลดังกล่าวมีขึ้นภายหลังจาก นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ หนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ได้ยื่นคำร้องต่อศาล โดยอ้างสิทธิ์ภายใต้สัญญาการร่วมทุนที่สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ตามคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการสากล ซึ่งรับรองว่าเนสท์เล่ได้ยุติสัญญาให้สิทธิ QCP ในการผลิตเนสกาแฟอย่างถูกต้องตามกฎหมาย.
ความสัมพันธ์อันยาวนานและการสิ้นสุดของสัญญา: ความร่วมมือระหว่างเนสท์เล่และ QCP เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2533 ในรูปแบบบริษัทร่วมทุน 50:50 กับตระกูลมหากิจศิริ โดยเนสท์เล่มีบทบาทหลักในการบริหารงาน การผลิต การตลาด และการจัดจำหน่าย ในขณะที่เทคโนโลยีการผลิตเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเนสท์เล่. อย่างไรก็ตาม ภายหลังการสิ้นสุดสัญญาในปี 2567 ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงเรื่องแนวทางการดำเนินงานในอนาคตของ QCP ร่วมกันได้. นำไปสู่การที่เนสท์เล่ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเลิกบริษัท QCP. ต่อมา นายเฉลิมชัยได้ยื่นฟ้องบริษัทในเครือเนสท์เล่เพิ่มเติมอีก 2 คดี จนนำมาสู่คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่งมีนบุรี.
ผลกระทบที่น่ากังวล: เนสท์เล่ได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศ. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร้านกาแฟขนาดเล็กและรถเข็นขายกาแฟ อาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขาดแคลนผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ ซึ่งอาจส่งผลต่อสูตรการชงและรสชาติที่ลูกค้าคุ้นเคย จนกระทบต่อรายได้ประจำวัน. นอกจากนี้ ยังรวมถึง พนักงาน ลูกค้า คู่ค้าซัพพลายเออร์ และเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟโรบัสต้าและเกษตรกรโคนม ที่เคยเป็นผู้จัดส่งวัตถุดิบให้เนสกาแฟ ซึ่งเนสกาแฟรับซื้อเมล็ดกาแฟโรบัสต้ากว่า 50% ของผลผลิตในประเทศต่อปี. การหยุดผลิตจึงอาจส่งผลกระทบต่อรายได้และเสถียรภาพการค้าภาคเกษตรกรรมในวงกว้าง.
ภาครัฐจับตา หวั่นสินค้าขาดตลาดและราคาผันผวน: ด้าน กรมการค้าภายใน ได้ออกมาติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แม้ว่ากาแฟจะไม่ใช่สินค้าควบคุม. อธิบดีกรมการค้าภายใน นายวิทยากร มณีเนตร เปิดเผยว่า ได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบปริมาณและราคากาแฟในตลาด เพื่อป้องกันปัญหาสินค้าขาดแคลนและการกักตุน. จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ายังมีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการและมีการจำหน่ายในราคาปกติ. กรมฯ ยังได้หารือกับผู้ค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งยืนยันว่ายังมีการส่งมอบสินค้าตามปกติ และสต็อกสินค้ายังเพียงพอ. พร้อมกันนี้ กรมฯ ได้ กำชับให้ร้านค้าทุกแห่งปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน และเตือนมิให้ฉวยโอกาสขึ้นราคา โดยมีบทลงโทษสำหรับผู้กระทำผิด.
แรงซื้อกลับ CBG และโอกาสของคู่แข่ง: ในขณะที่เนสกาแฟเผชิญกับวิกฤต หุ้นของ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ปรับตัวขึ้น 2.14%. นักวิเคราะห์มองว่าเป็นผลจาก sentiment บวก เนื่องจากผู้บริโภคอาจหันมาบริโภคกาแฟแบรนด์อื่นแทน. แม้ว่าสัดส่วนการขายกาแฟของ CBG จะยังน้อยกว่า 1% แต่การหายไปของคู่แข่งรายใหญ่อาจเป็นโอกาสในการเติบโต. นอกจากนี้ แบรนด์กาแฟอื่นๆ ที่อยู่นอกตลาดหลัก เช่น Birdy (อายิโนะโมะโต๊ะ) และ เขาช่อง (จิระเลิศพงษ์) ก็อาจได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์นี้.
บทวิเคราะห์: วิกฤตการณ์ “เนสกาแฟ” ครั้งนี้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในหลายมิติ ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความซับซ้อนของข้อพิพาททางธุรกิจระหว่างบริษัทข้ามชาติและผู้ร่วมทุนท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อห่วงโซ่อุปทานในวงกว้าง ตั้งแต่เกษตรกรรายย่อยไปจนถึงผู้บริโภคปลายทาง
ในระยะสั้น อาจเกิดความผันผวนในตลาดกาแฟ ผู้บริโภคที่เคยชื่นชอบเนสกาแฟอาจต้องปรับเปลี่ยนไปทดลองแบรนด์อื่น หรืออาจเกิดภาวะขาดแคลนสินค้าบางประเภทเป็นการชั่วคราว แม้ว่ากรมการค้าภายในจะยืนยันว่ายังมีสินค้าเพียงพอ แต่ความไม่แน่นอนย่อมสร้างความกังวลให้กับผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
ในระยะยาว สถานการณ์นี้อาจเป็นโอกาสให้แบรนด์กาแฟอื่นๆ ได้เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด การที่ “เนสกาแฟ” ซึ่งครองตลาดมายาวนานไม่สามารถทำการตลาดและจำหน่ายสินค้าได้ จะเปิดช่องว่างให้คู่แข่งได้สร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์และขยายฐานลูกค้า
สิ่งที่น่าจับตาต่อไปคือ การดำเนินการของเนสท์เล่ในการยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งศาล และระยะเวลาที่กระบวนการทางกฎหมายจะสิ้นสุดลง หากเนสท์เล่ไม่สามารถเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวได้ ตลาดกาแฟในประเทศไทยอาจมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
นอกจากนี้ ภาครัฐเองก็มีบทบาทสำคัญในการ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค โดยการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ป้องกันการเอารัดเอาเปรียบ และส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาด
โดยสรุป วิกฤตการณ์ “เนสกาแฟ” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของข้อพิพาททางธุรกิจสองฝ่ายเท่านั้น แต่เป็นเหตุการณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อผู้เล่นหลายรายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย และอาจนำไปสู่ภูมิทัศน์ใหม่ของตลาดกาแฟในอนาคตอันใกล้