อัปเดตความพร้อมก่อนยื่นภาษี 2567
คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) หรือสินทรัพย์ดิจิทัลได้รับความนิยมสูงขึ้นในประเทศไทย นักลงทุนจำนวนมากหันมาซื้อขายและแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อเก็งกำไร อย่างไรก็ตาม การลงทุนในคริปโตยังมาพร้อมกับภาระภาษีที่นักลงทุนต้องให้ความสำคัญ เพื่อให้ปฏิบัติตามกฎหมายและหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต บทความนี้จะสรุปเนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับการเสียภาษีคริปโต รวมถึงวิธีการคำนวณและการยื่นภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ใครต้องเสียภาษีจากการเทรดคริปโต?
จากแนวทางของกรมสรรพากรที่ประกาศเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2565 นักลงทุนที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีจากคริปโทเคอร์เรนซี ได้แก่:
- ผู้ที่มีการจำหน่าย จ่าย โอน หรือแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี/โทเคนดิจิทัล
- ผู้ขุดคริปโทเคอร์เรนซี
- ผู้ที่ได้รับคริปโทเคอร์เรนซีเป็นเงินเดือนหรือค่าจ้าง
- ผู้ที่ได้รับคริปโทเคอร์เรนซี/โทเคนดิจิทัลจากการให้หรือได้รับเป็นรางวัล
- ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์หรือการตอบแทนจากการถือครองคริปโทเคอร์เรนซี/โทเคนดิจิทัล
วิธีการคำนวณภาษีคริปโต
วิธีในการคำนวณภาษีคริปโตจะมี 2 วิธีการ ได้แก่:

1. วิธีเข้าก่อน-ออกก่อน (First in, First out) หรือ FIFO
วิธีการนี้เป็นการคำนวณต้นทุนคริปโทเคอร์เรนซี / โทเคนดิจิทัล โดยการถือว่าคริปโทเคอร์เรนซี / โทเคนดิจิทัลที่ซื้อมาก่อนจะขายออกไปก่อนตามลำดับ จึงทำให้คริปโทเคอร์เรนซี / โทเคนดิจิทัลที่มีอยู่ ณ วันสุดท้ายเป็นคริปโทเคอร์เรนซี / โทเคนดิจิทัลที่ซื้อมาครั้งล่าสุด
ตัวอย่างของการคำนวณแบบวิธีเข้าก่อน-ออกก่อน หรือ FIFO
จากตารางข้างต้น รายละเอียดวิธีการคำนวณแบบ FIFO จะมีดังนี้:
การคำนวณของเหรียญ A
- วันที่ 2/2/67 นาย ก ได้ทำการซื้อเหรียญ A จำนวน 1 เหรียญในราคา 1200 บาท ราคานี้จึงเป็นราคาต้นทุนของเหรียญ
- วันที่ 17/2/67 นาย ก ได้ทำการขายเหรียญ A จำนวน 1 เหรียญในราคา 1600 บาท
- ในที่นี้ นาย ก จะมีกำไรจากเหรียญ A เป็นจำนวน 400 บาท เพราะ 1600 – 1200 = 400 บาท
การคำนวณกำไรของเหรียญ B
- วันที่ 2/2/67 นาย ก ได้ทำการซื้อเหรียญ B จำนวน 1 เหรียญในราคา 1000 บาท ราคานี้จึงเป็นราคาต้นทุนของเหรียญ
- วันที่ 17/2/67 นาย ก ได้ทำการขายเหรียญ B จำนวน 1 เหรียญในราคา 800 บาท
- ในที่นี้ นาย ก จะขาดทุนจากเหรียญ B เป็นจำนวน 200 บาท เพราะ 800 – 1000 = -200 บาท
การคำนวณรายรับสุทธิของนาย ก โดยวิธีการคำนวณแบบ FIFO
รายรับสุทธิของนาย ก จากการขายเหรียญ A และ B จะเท่ากับ:
- 400 บาท (กำไรจากเหรียญ A) – 200 บาท (ขาดทุนจากเหรียญ B) = 200 บาท
การยื่นภาษีในกรณีที่ได้กำไร
ในกรณีที่รายรับสุทธิจากการขายเหรียญของนาย ก เป็นกำไรในจำนวนเงินที่ 200 บาท นาย ก ต้องยื่นเสียภาษีสำหรับการซื้อขายคริปโต เป็นจำนวนเงิน 200 บาทนั้นเอง

2. วิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ หรือ Moving Average Cost
วิธีการนี้ใช้ในการคำนวณต้นทุนของคริปโทเคอร์เรนซี / โทเคนดิจิทัล โดยการหาค่า ต้นทุนเฉลี่ย ของเหรียญประเภทเดียวกันจากราคาต้นปีรวมกับต้นทุนที่ซื้อเพิ่มในระหว่างปี ซึ่งจะมีการคำนวณทุกครั้งที่ทำการซื้อเพิ่ม
ตัวอย่างการคำนวณแบบ Moving Average Cost
จากตัวอย่างที่นำเสนอในตารางข้างต้น รายละเอียดการคำนวณต้นทุนแบบ Moving Average Cost มีดังนี้:
การคำนวณของเหรียญ A
- วันที่ 2/2/67: นาย ก ซื้อเหรียญ A จำนวน 1 เหรียญในราคา 1000 บาท
- วันที่ 4/2/67: นาย ก ซื้อเหรียญ A จำนวน 1 เหรียญในราคา 800 บาท
- การคำนวณต้นทุนของเหรียญ A: (1000 + 800) / 2 = 900 บาท
- วันที่ 17/2/67: นาย ก ขายเหรียญ A จำนวน 1 เหรียญในราคา 700 บาท
- การคำนวณกำไร/ขาดทุน: นาย ก จะขาดทุนจากเหรียญ A เป็นจำนวน 200 บาท เพราะ 700 – 900 = -200 บาท
การคำนวณของเหรียญ B
- วันที่ 2/2/67: นาย ก ซื้อเหรียญ B จำนวน 1 เหรียญในราคา 900 บาท
- วันที่ 4/2/67: นาย ก ซื้อเหรียญ B จำนวน 1 เหรียญในราคา 600 บาท
- การคำนวณต้นทุนของเหรียญ B: (900 + 600) / 2 = 750 บาท
- วันที่ 17/2/67: นาย ก ขายเหรียญ B จำนวน 1 เหรียญในราคา 750 บาท
- การคำนวณกำไร/ขาดทุน: ในที่นี้ นาย ก จะไม่ได้กำไรหรือขาดทุน เนื่องจากราคาต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 750 บาท และราคาขายคือ 750 บาท ซึ่งทำให้นาย ก อยู่ในจุดที่ เท่าทุน (ไม่มีการขาดทุนหรือกำไร)
การคำนวณรายรับสุทธิ
รายรับสุทธิจากการคำนวณของเหรียญ A และ B ตามวิธีการ Moving Average Cost จะเท่ากับ:

การยื่นภาษีคริปโต
เอกสารที่ต้องใช้สำหรับยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90/91
- จำนวนเหรียญที่ซื้อขาย
- มูลค่าของคริปโต ณ วันที่ทำธุรกรรม
- อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง
- รายละเอียดของผู้ซื้อหรือผู้ขาย (ถ้ามี)
- หลักฐานใบกำกับภาษี
- หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ถ้ามี)
กรณีที่ไม่ต้องเสียภาษี
- มีกำไรจากคริปโตไม่เกิน 60,000 บาท/ปี
- มีกำไรจากคริปโตไม่เกิน 210,000 บาท/ปี (ต้องยื่นภาษีแต่ไม่เสียภาษี)
- ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป หรือผู้พิการ ที่มีกำไรไม่เกิน 400,000 บาท/ปี
ข้อกฎหมายเกี่ยวกับภาษีคริปโต
ภาษีคริปโตถูกกำหนดภายใต้ พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ฉบับที่ 19 ซึ่งระบุ:
- มาตรา 40(4)(ซ) กำไรจากการถือครองโทเคนดิจิทัลต้องเสียภาษี
- มาตรา 40(4)(ฌ) กำไรจากการโอนคริปโตต้องเสียภาษี
- มาตรา 50(ฉ) กำหนดให้หักภาษี ณ ที่จ่าย 15% จากการขายคริปโต
มาตรการผ่อนปรนภาษีจากกรมสรรพากร
- ภาษีเงินได้ – นักลงทุนสามารถนำผลขาดทุนมาหักลบกับกำไรในปีภาษีเดียวกันได้ หากเทรดผ่าน Exchange ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย – ยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15% สำหรับการเทรดผ่าน Exchange ที่ได้รับอนุญาต
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) – ยกเว้น VAT สำหรับการซื้อขายคริปโตผ่าน Exchange ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.
สรุป
- นักลงทุนต้องคำนวณภาษีเงินได้จากสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเลือกใช้ FIFO หรือ Moving Average Cost
- ยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15% และ VAT สำหรับธุรกรรมใน Exchange ที่ได้รับอนุญาต
- กำไรที่เก็บไว้บน Exchange โดยยังไม่ถอนออกมาเป็นเงินสดถือว่าเป็นรายได้และต้องเสียภาษี
- คำนวณต้นทุนให้ถูกต้องโดยใช้ราคากลางตามที่กรมสรรพากรกำหนด
- ยื่นภาษีผ่านแบบ ภ.ง.ด.90/91 ภายในวันที่ 31 มี.ค. ของปีถัดไป
คำเตือน
คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนลงทุน
แหล่งที่มา
Bitkub, Finnomena, กรมสรรพากร, ประมวลรัษฎากร, Isranews
ที่มา: