เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568, น.ส. รักชนก ศรีนอก ส.ส. กรุงเทพฯ จากพรรคประชาชน และนาย สหัสวัต คุ้มคง ส.ส. ชลบุรี พรรคเดียวกัน ได้จัดแถลงข่าวเปิดเผยข้อสงสัยเกี่ยวกับการลงทุนของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ในการซื้ออาคาร SKYY9 Centre ย่านพระราม 9 ซึ่งตั้งอยู่ในย่านเศรษฐกิจสำคัญของกรุงเทพฯ ข้อสงสัยคือทำไม สปส. จึงตัดสินใจซื้อตึกในราคาที่สูงถึง 7 พันล้านบาท ทั้งที่ราคาตลาดของตึกนี้ในปี 2565 มีมูลค่าเพียง 3 พันล้านบาท และยังมีปัญหาธรรมาภิบาลที่น่ากังวลเกี่ยวกับการลงทุนครั้งนี้และความเชื่อมโยงกับฝ่ายการเมือง
ปัญหาธรรมาภิบาลในการลงทุนของ สปส.
การลงทุนของ สำนักงานประกันสังคม ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากการตัดสินใจซื้อตึกที่มีมูลค่าเกินจริงอย่างเห็นได้ชัด โดยในช่วงปลายปี 2565 อัตราผู้เช่าตึกอยู่ที่เพียง 1% เท่านั้น แต่กลับมีแผนการที่อ้างถึงผลตอบแทนที่สวยหรูเกินจริง ทั้งที่ปัจจุบันมีตัวเลขผู้เช่าที่รายงานว่าอยู่ที่ประมาณ 40% แต่ยังคงมีความสงสัยว่าเป็นการรวมผู้เช่าที่คาดว่าจะเข้ามาในอนาคตด้วย ทำให้ความโปร่งใสในการบริหารจัดการกองทุนของ สปส. เป็นที่น่ากังวล
คำถามเกี่ยวกับการเชื่อมโยงกับนักการเมือง
น.ส. รักชนก ได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของการตัดสินใจลงทุนในอาคารดังกล่าวกับนักการเมือง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ใกล้การเลือกตั้ง โดยยกประเด็นว่าทำไม สำนักงานประกันสังคม ถึงยอมจ่ายเงิน 7 พันล้านบาท ในขณะที่ตึกนี้มีมูลค่าตลาดเพียง 3 พันล้านบาท และยังตั้งคำถามถึงการโยกย้ายบุคลากรในกระทรวงแรงงานในปี 2565 ซึ่งอาจเป็นการแต่งตั้งผู้ที่มีความเกี่ยวข้องทางการเมืองมาเป็นส่วนหนึ่งของอนุกรรมการการลงทุน
ผลกระทบต่อผู้ประกันตนและความน่าเชื่อถือของ สปส.
การลงทุนของ สปส. ครั้งนี้ได้สร้างผลกระทบต่อผู้ประกันตน เพราะเงินที่ทุ่มไปกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีปัญหาผลตอบแทน อาจทำให้กองทุนประกันสังคมเสียหาย ทั้งยังมีการตั้งข้อสงสัยว่าการตัดสินใจลงทุนครั้งนี้เป็นการเอื้อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มการเมืองหรือไม่ น.ส. รักชนก ยังกล่าวถึงการขาดความโปร่งใสในการดำเนินงานของ สปส. และเรียกร้องให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อความชัดเจน
ความซับซ้อนในการซื้อขายและการตั้งกองทรัสต์
จากการแถลงข่าวของนาย สหัสวัต คุ้มคง มีการชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ครั้งนี้ เนื่องจากการลงทุนไม่เพียงแต่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ตึกเดียว แต่ยังมีการตั้งกองทรัสต์มูลค่า 9.8 พันล้านบาท ซึ่ง 30% ของกองทุนจะลงทุนในต่างประเทศ และ 70% จะถูกทุ่มลงทุนในตึกเดียวกัน การลงทุนลักษณะนี้ถือเป็นการลงทุนที่ผิดปกติ โดยไม่คำนึงถึงการกระจายความเสี่ยงที่จำเป็นในการบริหารจัดการกองทุนของรัฐ
สังคมและสื่อมวลชนต้องจับตาดูการลงทุนในอนาคต
การลงทุนในครั้งนี้ยังคงเป็นประเด็นที่สังคมและสื่อมวลชนต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากยังมีการตั้งข้อสงสัยต่อความโปร่งใสในการบริหารจัดการเงินของผู้ประกันตน และเป็นการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการทำงานของ สำนักงานประกันสังคม รวมถึงการสอบสวนกรณีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่โปร่งใส หากการลงทุนในอนาคตยังไม่ปรับปรุงและกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ความน่าเชื่อถือของ สปส. ก็อาจถูกตั้งคำถามต่อไป
ข้อมูล / ภาพ : mgronline
