Skype ถือเป็นหนึ่งในแอปพลิเคชันที่ปฏิวัติวงการการสื่อสารออนไลน์ โดยเฉพาะในด้านการโทรหากันผ่านอินเทอร์เน็ตแบบเห็นหน้า ซึ่งเป็นการบุกเบิกยุคของการวิดีโอคอลและการติดต่อสื่อสารระยะไกลในยุคแรก ก่อนที่จะมีแอปพลิเคชันที่เราคุ้นเคยในปัจจุบันอย่าง WhatsApp, FaceTime, LINE, Microsoft Teams หรือ Zoom
จุดเริ่มต้นของ Skype: เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงโลก
Skype ก่อตั้งขึ้นในปี 2003 โดย Niklas Zennström และ Janus Friis สองนักพัฒนาจากสวีเดนและเดนมาร์ก พร้อมด้วยทีมพัฒนาชาวเอสโตเนียที่เคยร่วมงานในโครงการ Kazaa บริการแชร์ไฟล์แบบเพียร์ทูเพียร์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างเทคโนโลยีของ Skype โดยการนำโค้ดจาก Kazaa มาปรับใช้ในการพัฒนาภาพรวมของระบบ VoIP (Voice over Internet Protocol) หรือการโทรผ่านอินเทอร์เน็ต
เทคโนโลยีที่ Skype พัฒนาขึ้นทำให้สามารถสื่อสารด้วยเสียงและวิดีโอผ่านอินเทอร์เน็ตได้อย่างสะดวกและประหยัดต้นทุน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลางแบบที่เครือข่ายโทรคมนาคมในอดีตใช้งาน ซึ่งช่วยให้ Skype สามารถลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้ทั่วโลกได้
การเติบโตและการขยายตัวของ Skype
หลังจากเปิดตัวรุ่นแรกออกสู่สาธารณะ Skype ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหลังจากที่ผู้ใช้สามารถโทรหากันฟรีผ่านอินเทอร์เน็ต ส่งผลให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจำนวนมากในช่วงเริ่มต้น โดยมีผู้ใช้ถึง 50 ล้านคนภายใน 2 ปี และมียอดดาวน์โหลดกว่า 1 พันล้านครั้งในปี 2008 การเติบโตดังกล่าวทำให้ Skype กลายเป็นแพลตฟอร์มการสื่อสารที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ทั้งในระดับบุคคลและธุรกิจ
ความสำเร็จและปัญหาในการเข้าซื้อกิจการโดย eBay
ในปี 2005, eBay ได้เข้าซื้อกิจการ Skype ด้วยมูลค่า 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อขยายธุรกิจการสื่อสาร แต่การรวม Skype เข้ากับระบบของ eBay กลับประสบปัญหาหลายด้าน ทั้งในเรื่องการสร้างรายได้และการบูรณาการเข้ากับบริการของบริษัท โดยในปี 2008 เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารหลายครั้ง ส่งผลให้ผู้ก่อตั้งของ Skype ตัดสินใจออกจากบริษัท และในที่สุด eBay ก็ขายหุ้นของ Skype ให้กับกลุ่มนักลงทุนในปี 2009
การเข้าซื้อกิจการโดย Microsoft และการปรับตัวของ Skype
ในปี 2011, Microsoft เข้าซื้อกิจการ Skype ด้วยมูลค่า 8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำ Skype มาผสานเข้ากับระบบต่าง ๆ ของบริษัท เช่น Windows, Microsoft Office, และ Xbox โดยตั้งเป้าหมายที่จะขยายตลาด VoIP และการสื่อสารออนไลน์ทั้งในระดับบุคคลและองค์กร
แม้ว่าการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะช่วยให้ Skype มีฐานผู้ใช้เพิ่มขึ้น แต่การขาดนวัตกรรมและการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ในยุคใหม่ทำให้ Skype ถูกท้าทายจากแอปพลิเคชันอื่น ๆ ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น Zoom, Teams, และ WhatsApp ซึ่งสามารถตอบสนองการใช้งานและประสบการณ์ที่ผู้ใช้คาดหวังได้ดีกว่า Skype
การแข่งขันที่ดุเดือดในยุค Remote Working และการปรับตัวที่ช้าเกินไป
ในช่วงปี 2017 เป็นต้นมา Microsoft เริ่มพยายามปรับปรุง Skype โดยการเพิ่มฟีเจอร์ที่คล้ายกับแอป Snapchat เช่น การแชร์รูปถ่ายและวิดีโอ รวมถึงการย้ายบริการจากเพียร์ทูเพียร์ไปยังเซิร์ฟเวอร์กลาง ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพลดลงและอินเทอร์เฟซผู้ใช้ซับซ้อนขึ้น ทำให้ Skype ค่อย ๆ สูญเสียความนิยมไป
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2019 ยิ่งเร่งความเสื่อมถอยของ Skype เมื่อผู้ใช้เริ่มหันไปใช้ Zoom, Google Meet, หรือ Teams ที่มีฟีเจอร์ที่สามารถรองรับการทำงานระยะไกลได้ดีกว่า Skype ทำให้ Skype ค่อย ๆ หายไปจากวงการ
ลาก่อน Skype: บทเรียนจากการเป็นผู้บุกเบิกที่ไม่สามารถปรับตัวทัน
ในที่สุด, Microsoft ตัดสินใจยุติการให้บริการ Skype อย่างสมบูรณ์ภายในเดือนพฤษภาคม 2025 โดยจะโอนผู้ใช้ Skype ไปยัง Microsoft Teams ซึ่งมีฟีเจอร์และระบบที่ตอบโจทย์การทำงานร่วมกันในองค์กรได้ดีกว่า
เรื่องราวของ Skype เป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของนวัตกรรมและการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ในโลกของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แม้ว่า Skype จะเป็นผู้บุกเบิก แต่การขาดการพัฒนาและไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้และการแข่งขันที่ดุเดือด ทำให้มันค่อย ๆ สูญเสียความนิยมและถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
