รัฐบังคับมาตรการเข้ม! ค่ายมือถือเร่งรื้อเสาชายแดน ลดช่องโหว่อาชญากรรมข้ามชาติ

ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายฟอกเงิน กำลังเป็นภัยที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนไทยอย่างหนัก ภาครัฐจึงเร่งเดินหน้ามาตรการ “ซิม เสา สาย” เพื่อควบคุมการใช้สัญญาณโทรคมนาคมในพื้นที่ชายแดน ป้องกันไม่ให้ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ย้ำถึงความสำคัญของมาตรการ “ซีลชายแดน” เพื่อป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้พื้นที่ชายแดนในการดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมาย มาตรการนี้รวมถึงการตัดกระแสไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และการงดส่งน้ำมันไปยังพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมดังกล่าว

นายภูมิธรรม ได้เน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างกองทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทย ในการเฝ้าระวังและป้องกันการกระทำผิดตามแนวชายแดน และได้ลงพื้นที่ จ.สระแก้ว เพื่อตรวจสอบเสาสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่อาจถูกใช้ในการสนับสนุนกิจกรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยได้สั่งการให้ดำเนินการอย่างเข้มงวด หากพบว่ามีการลักลอบส่งสัญญาณไปยังฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา นอกจากนี้ ยังได้ขอความร่วมมือจากผู้ให้บริการสายเคเบิล 29 ราย ให้แสดงตัวและชี้แจงการดำเนินงาน หากไม่ปฏิบัติตามจะมีการตัดสายเคเบิลดังกล่าว เนื่องจากอาจเข้าข่ายสมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มมิจฉาชีพ

หนึ่งในมาตรการที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือ “การหันเสาสัญญาณไปทางพม่า” หรือการลดสัญญาณในพื้นที่เสี่ยง มีรายงานว่าบางเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของไทยสามารถใช้งานในฝั่งพม่าได้ดีกว่าซิมพม่าของตัวเองเสียอีก แน่นอนว่าคำถามสำคัญคือ บริษัทโทรคมนาคม ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังแล้วหรือยัง?

ค่ายแดง : สัญญาณแรงข้ามแดน แต่พอรัฐลงพื้นที่ถึงเริ่มขยับ?

จากรายงานที่ผ่านมา เสาสัญญาณของค่ายแดงถูกตั้งอยู่ในจุดที่สามารถให้บริการสัญญาณข้ามแดนได้ดีเยี่ยม ส่งผลให้กลุ่มมิจฉาชีพใช้ช่องทางนี้เพื่อดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์หลอกลวงหรือธุรกรรมฟอกเงิน

ค่ายแดงอาจอ้างว่า การขยายสัญญาณเป็น “การให้บริการลูกค้า” และ “ไม่สามารถควบคุมการใช้งานได้” แต่สิ่งที่ชวนให้ฉุกคิดคือ เมื่อภาครัฐเริ่มลงพื้นที่ตรวจสอบและกดดันให้มีการแก้ไข ปรากฏว่าค่ายแดงค่อย ๆ ถอดอุปกรณ์ปล่อยสัญญาณออกจากเสาในพื้นที่เสี่ยงหลายจุด ทำให้เกิดคำถามสำคัญ: ก่อนหน้านี้ค่ายแดงทราบถึงปัญหานี้หรือไม่? และหากไม่มีการลงพื้นที่ของรัฐ สัญญาณเหล่านี้จะยังคงให้บริการข้ามพรมแดนต่อไปหรือไม่?

ค่ายเขียว : เครือข่ายคู่แข่งในมุมมองที่แตกต่าง

ในขณะที่ค่ายแดงถูกวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นดังกล่าว ค่ายเขียว ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่อีกรายในไทยก็ต้องเผชิญกับความท้าทายเช่นกัน โดยมีรายงานว่า ค่ายเขียวได้ให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการตรวจสอบและดำเนินมาตรการลดความเสี่ยงของสัญญาณที่อาจถูกใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมาย โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน

แม้ว่าจะยังไม่มีข้อกล่าวหาว่าสัญญาณของค่ายเขียวถูกใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมายมากเท่ากับค่ายแดง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ค่ายเขียวมีแนวทางป้องกันที่เข้มงวดขึ้น โดยให้ความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐในการปรับโครงข่ายในจุดที่มีความเสี่ยง เพื่อลดโอกาสที่มิจฉาชีพจะใช้ประโยชน์จากสัญญาณโทรคมนาคมของไทย

มาตรการรัฐ : กดดันให้ค่ายมือถือขยับตัว?

การ “หันเสาสัญญาณไปทางพม่า” เป็นเพียงหนึ่งในหลายมาตรการของภาครัฐในการควบคุมปัญหานี้ ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบการใช้ซิมที่ผิดปกติ การควบคุมอุปกรณ์โทรคมนาคม และการบังคับให้ค่ายมือถือมีมาตรการที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม การที่ค่ายแดงเริ่มถอดอุปกรณ์หลังจากมีการลงพื้นที่ตรวจสอบของหน่วยงานรัฐ สะท้อนให้เห็นว่าหากไม่มีแรงกดดันจากภาครัฐ เรื่องนี้อาจถูกเพิกเฉยต่อไป

ค่ายมือถือควรมีความรับผิดชอบมากกว่านี้

เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ประเด็นคุณภาพเครือข่ายหรือการแข่งขันทางธุรกิจ แต่มันคือประเด็นเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชน ค่ายมือถือจำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ใช่เพียงแค่ขยายโครงข่ายเพื่อผลกำไรโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ

หากค่ายมือถือต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ คำถามสำคัญคือ ทำไมต้องรอให้รัฐลงมาตรวจสอบก่อนจึงเริ่มแก้ไขปัญหา? แล้วถ้าหากไม่มีการตรวจสอบ ค่ายมือถือจะยังคงปล่อยให้สัญญาณของตัวเองถูกนำไปใช้โดยมิจฉาชีพต่อไปหรือไม่?