โทรศัพท์ “แตงโม” ถึงมือดีเอสไอ เตรียมส่งแล็บตรวจละเอียด

โทรศัพท์ “แตงโม” ถึงมือเจ้าหน้าที่ดีเอสไอแล้ว พร้อมเก็บดีเอ็นเอทันที เตรียมส่งแล็บตรวจละเอียด ด้าน “หมอธวัชชัย” เผยเห็นภาพในมือถือ เชื่อได้ว่าแตงโมไม่ได้อยู่บนเรือ หลัง 20.36 น. แล้ว

จากกรณี พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ เดินทางไปรับโทรศัพท์มือถือของ “แตงโม นิดา” จากบังแจ็คที่ต่างประเทศ เพื่อนำกลับมามอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ใช้ในการเก็บข้อมูลคดีแตงโม ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 00.10 น. วันที่ 7 ก.พ. 2568 พ.อ.นพ. ธวัชชัย กาญจนรินทร์ เดินทางจากประเทศสหรัฐอเมริกา ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สมุทรปราการ โดยมีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ นำโดย พ.ต.ต.ณัฐพล ดิษยธรรม พร้อมคณะ ได้เดินทางไปรอที่บริเวณทางเชื่อม (งวงช้าง) เพื่อรอรับโทรศัพท์ของแตงโมทันที ก่อนที่ดีเอสไอจะนำไปมอบให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ที่มาตั้งโต๊ะในการเฝ้ารอตรวจสอบโทรศัพท์ของแตงโม ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญอีกหนึ่งชิ้นในคดี

โดยเจ้าหน้าที่มีการตรวจสอบจากซองที่ใช้บรรจุโทรศัพท์ ซึ่งมีทั้งหมด 2 ซองในลักษณะซองซิปล็อก ซึ่งการตรวจสอบจะเก็บดีเอ็นเอ ทั้งในซอง นอกซอง หลังจากนั้นก็มีการตรวจสอบเรื่องของโทรศัพท์มือถือตั้งแต่เคสโทรศัพท์ รอบเครื่อง ถาดใส่ซิม ซิมการ์ด รวมถึงตรวจสอบว่าภาพหน้าจอโทรศัพท์มีการตั้งภาพอะไรไว้ ก่อนจะนำหลักฐานทั้งหมดเก็บลงในซองหลักฐาน และบรรจุส่งมอบให้กับทางดีเอสไอ โดยใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงในการตรวจสอบ

นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้เชิญ พ.อ.นพ.ธวัชชัย เข้าเก็บดีเอ็นเอด้วย เนื่องจากว่าจะได้นำดีเอ็นเอไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอแฝงอื่นๆ ในถุงซิปล็อกและโทรศัพท์

ซึ่งขณะที่เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ทำการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือและเก็บดีเอ็นเออยู่นั้น พ.อ.นพ.ธวัชชัย ได้ติดต่อไปยังบังแจ็ค เพื่ออัปเดตความคืบหน้าว่าถึงสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว และส่งมอบโทรศัพท์เรียบร้อย โดยบังแจ็ค เปิดใจว่า ตนรู้สึกดีใจที่โทรศัพท์ของน้องแตงโม เดินทางกลับถึงประเทศไทย และไปถึงมือกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อทำการตรวจสอบข้อมูลและนำไปสู่การสอบสวน ซึ่งตนยังไม่ได้มอบรหัสโทรศัพท์ให้กับทางนายแพทย์ธวัชชัย เนื่องจากกลัวเรื่องของความปลอดภัย และตนพร้อมที่จะให้ข้อมูลเรื่องของรหัสโทรศัพท์ เมื่อโทรศัพท์เครื่องนี้ถึงดีเอสไอแล้วเท่านั้น และบังแจ็คยังคาดหวังว่า ทางเจ้าหน้าที่จะตรวจโทรศัพท์ของคุณแตงโมอย่างละเอียด

บังแจ็ค บอกอีกว่า ตั้งแต่ครั้งแรกที่ตนได้รับโทรศัพท์ของแตงโม ยังไม่ยืนยันว่าข้อมูลที่ได้มานั้นเป็นข้อมูลจากโทรศัพท์ของคุณแตงโมจริง เพราะโทรศัพท์แต่ละเครื่องผ่านมาหลายมือ ไม่ว่าจะเป็นคนบนเรือ ตำรวจ หรือคนอื่นๆ เมื่อกู้ข้อมูลกลับมาได้ ตนก็พร้อมส่งกลับมาที่ประเทศไทย อย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ อีกทั้งก่อนหน้านี้ บังแจ็คมองว่ามีขบวนการดิสเครดิต และตนยังไม่ได้มีเสียงมากพอที่จะเปิดโปงหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับโทรศัพท์ของคุณแตงโม

นอกจากนี้ บังแจ็คยัง เปิดเผยข้อมูลอีกว่า ก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครเสนอเงินเข้ามาเพื่อที่จะซื้อโทรศัพท์ของแตงโม แต่เมื่อรู้ว่า พ.อ.นพ.ธวัชชัย จะเดินทางมาหาตน ก็มีคนติดต่อเสนอเงินซื้อโทรศัพท์แตงโม ในราคา 2-5 ล้านบาท แต่ตนไม่ได้ขายให้ เพราะพร้อมที่จะมอบให้ พ.อ.นพ.ธวัชชัย นำส่งกลับไปให้ดีเอสไอเพื่อตรวจสอบและขยายผล ซึ่งตนยืนยันว่าไม่ต้องการเงิน

เมื่อถามว่าโทรศัพท์ของแตงโม เมื่อไปอยู่กับบังแจ็คแล้ว คุณแม่ภนิดา ได้ติดต่อขอคืนบ้างหรือไม่ บังแจ็คบอกว่า คุณแม่ไม่เคยขอคืนจากตน แต่ตนเคยเสนอหลังจากกู้ข้อมูลได้แล้วว่า คุณแม่จะรับโทรศัพท์เครื่องนี้คืนหรือไม่ รวมไปถึงยังได้พูดคุยกับ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ว่าจะนำมือถือเครื่องนี้กลับไปประกอบสำนวนคดีด้วยหรือไม่ บังแจ็คบอกว่าท่าทีของอีกฝ่ายไม่สนใจโทรศัพท์เครื่องนี้ และโทรศัพท์เครื่องนี้ไม่ได้อยู่ในสำนวนด้วย เพราะถ้าโทรศัพท์เครื่องนี้อยู่ในสำนวน จะต้องอยู่ที่กระบวนการของศาลไม่ได้อยู่ที่ตน แต่ยืนยันว่าในโทรศัพท์เครื่องนี้มีข้อมูลที่สำคัญทางคดีอย่างแน่นอน

ซึ่งภายหลังจากการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน บังแจ็คได้เปิดเผยข้อมูลรหัสโทรศัพท์ของคุณแตงโมให้กับทางดีเอสไอทราบ เพื่อนำไปปลดล็อกโทรศัพท์ดึงข้อมูลทั้งหมดออกมาเข้าสู่สำนวนคดี

ด้าน พ.อ.นพ.ธวัชชัย เผยว่า ส่วนตัวใช้เวลาเดินทางในการไปรับโทรศัพท์ของคุณแตงโมประมาณ 75 ชั่วโมง โดยระหว่างขากลับ ส่วนตัวเป็นกังวลกลัวโทรศัพท์จะหาย แต่ตอนนี้รู้สึกสบายใจแล้ว เพราะโทรศัพท์ได้ส่งถึงมือเจ้าหน้าที่ดีเอสไอแล้ว ซึ่งการเดินทางไปรับมือถือของแตงโม ที่สหรัฐอเมริกาครั้งนี้ ไม่ได้ใช้เงินหลวงแต่อย่างใด เพราะส่วนตัวเป็นพลเมืองดีที่เห็นความตั้งใจของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอชุดนี้ ส่วนที่คนบางคนพูดว่า “ไปให้คุ้มเงิน ว่าจะได้อะไรกลับมาหรือไม่” ส่วนตัวมองว่า ถ้าไม่เจอหลักฐานอะไรก็เสมอตัว แต่ถ้าเจอ ก็ถือว่าได้กำไรมากน้อยเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับหลักฐาน เพราะถ้าไม่เข้าถ้ำเสือจะเจอลูกเสือได้อย่างไร อยู่ดีๆ มือถือก็คงไม่ลอยมา

นอกจากนี้ ยังมีคนพยายามทักมาก่อกวน ประมาณว่าจะได้มือถือของคุณแตงโมจริงหรือไม่ หรือหากไปหาบังแจ็คตัวเองอาจจะตกเป็นจำเลยในคดีที่บังแจ็คมีความผิดอยู่ หรืออาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดได้ แต่ก็มีบางส่วนที่ทักมาเตือนเรื่องความปลอดภัยในขณะการเดินทาง และยังมีคนเสนอเพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องการบินให้อีก แต่ส่วนตัวไม่รับไว้

ทั้งนี้ หลังจากเจอบังแจ็ค ส่วนตัวได้ดูภาพ หลักฐาน และข้อมูลต่างๆ ในโทรศัพท์ โดยขณะนั้นได้ถ่ายคลิปไว้ และพยายามไม่สัมผัสโทรศัพท์ ซึ่งมีสิ่งที่น่าสงสัยคือ ภายในโทรศัพท์ของคุณแตงโม ไม่มีภาพของคุณแตงโมอยู่ในโทรศัพท์เลย หลังจากเวลา 20.36 น. หรือหลังจากเวลาลงเรือ ซึ่งก็ต้องเท่ากับว่าคุณแตงโมไม่อยู่บนเรือแล้วหรือไม่ ส่วนนี้ก็ต้องให้คนบนเรือตอบข้อสงสัยดังกล่าว และมองว่าคนบนเรือต้องตอบให้ได้

พ.อ.นพ.ธวัชชัย เผยอีกว่า ส่วนตัวยืนยันได้ว่าการได้ดูข้อมูลและหลักฐาน ก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่ประพฤติมิชอบ เพราะพบข้อสงสัยทั้งเรื่องที่ไม่มีภาพของคุณแตงโมเลยหลังจากขึ้นเรือ ไม่มีการตรวจสอบเบอร์โทรเข้าโทรออก และยังพบว่ามีการทำลายหลักฐาน ซึ่งก็ต้องได้รับโทษในส่วนนี้เช่นกัน ส่วนจะเป็นเรื่องฆาตกรรมหรือไม่นั้น จากที่ดูภาพในมือถือนั้นไม่มี ส่วนตัวก็คิดว่าคงไม่มีใครที่จะถ่ายคลิปไว้ในตอนที่ถูกกรีดขาหรือถูกฆาตกรรม หากไม่ใช่โรคจิต เชื่อว่าตอนนี้เจ้าหน้าที่ต้องรู้ตัวแล้ว และไม่สมควรที่จะต้องให้ทางดีเอสไอเรียกตัว แต่ควรที่จะเดินทางมาหาดีเอสไอดีกว่า

เบื้องต้น อยากเรียกร้องให้ทางดีเอสไอตรวจสอบกรณีที่มีเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ เพราะผลลัพธ์เป็นอย่างไรเราก็ต้องการคำอธิบาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่สงสัยหรือแม้กระทั่งอาจจะไม่เป็นอย่างที่สงสัย แต่เราจะต้องมีคำอธิบายที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์และมีความชัดเจนมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ขบวนการไม่มีความชัดเจนและไม่แน่ชัดทำให้เกิดข้อสงสัยและพิรุธเป็นจำนวนมาก หากมีคำตอบข้อพิรุธทั้งหมดตั้งแต่สามปีที่แล้วเราคงไม่ต้องมาถึงจุดนี้ได้

พ.ต.ต.ณัฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม หัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนคดีแตงโม ระบุว่า สำหรับขั้นตอนการตรวจสอบโทรศัพท์ของคุณแตงโม เป็นการเก็บทางกายภาพของโทรศัพท์ทั้งหมดว่ามีดีเอ็นเอของผู้ใดติดอยู่ที่โทรศัพท์หรือไม่อย่างไร โดยหลังจากผลการตรวจสอบพยานหลักฐานจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์แล้ว ในวันพรุ่งนี้จะให้ ผอ.กองปฏิบัติการพิเศษ เก็บไว้ที่ห้องความมั่นคง ซึ่งเป็นขบวนการที่เก็บเป็นความลับขั้นสูงสุด โดยจะมีขบวนรถที่จะนำโทรศัพท์เครื่องนี้ไปเก็บไว้ที่ดีเอสไออีกครั้ง จากนั้นในวันพรุ่งนี้เช้าจะนำหลักฐานส่งที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะไปเก็บหลักฐานทางแล็บในตัวเครื่องทั้งหมดว่า มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด

สำหรับขั้นตอนต่อไปเมื่อได้รับผลของขบวนการเก็บข้อมูลทั้งหมดแล้ว คาดว่าจะเป็นช่วงสัปดาห์หน้าคือวันที่ 10-17 ก.พ. 2568 คณะพนักงานสืบสวนจะขยายผลและเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีดีเอ็นเอที่โทรศัพท์ หรือมีข้อมูลที่อยู่ในโทรศัพท์จากการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์มาสอบปากคำเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป จากนั้นคณะพนักงานสืบสวนได้ประสานความร่วมมือกับกรมเจ้าท่ากรมชลประทาน ในการเก็บรวบรวมหลักฐานสแกนภาพจากแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมดในช่วงที่เรือวิ่ง และใช้ GPS ตามช่วงเวลาที่เกิดเหตุเก็บข้อมูลทั้งหมด และจะมีการสแกนใต้น้ำเก็บรวบรวมสถานที่เราสนใจหรือที่สงสัยอยู่ มารวบรวมโดยใช้เทคโนโลยีทางภูมิศาสตร์วิทยาศาสตร์เพื่อจะพิสูจน์ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง โดยกรอบระยะเวลาในการสืบสวนคือ 6 เดือน แต่หากยังไม่แล้วเสร็จ สามารถขยายเวลาได้อีก 2 ครั้งครั้งละ 3 เดือน โดยจะเร่งรัดดำเนินการอย่างรวดเร็วและจะดำเนินการให้อย่างดีที่สุดเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงในคดีนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งตอนนี้ทำมาได้ประมาณสามสัปดาห์ซึ่งผลคืบหน้า ก็มากแล้วแต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่ากี่เปอร์เซ็นต์ โดยตอนนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่าคดีถึงขั้นไหน เพราะข้อเท็จจริงยังไม่สามารถตอบอะไรได้มากแต่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่พอแนวทางในการขยายผลต่อไป

ส่วนกรณีของบังแจ็คที่เป็นผู้เก็บมือถือของคุณแตงโมมานานกว่า 3 ปีนั้น หลังจากนี้ต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุมของคณะพนักงานสืบสวนก่อนว่า จะใช้วิธีการอย่างไร ซึ่งคงต้องรออีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้หากมีประชาชนหรือผู้แจ้งเบาะแส สามารถส่งภาพมาให้กับทางเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ เพื่อเป็นประโยชน์ในการที่จะแสวงหาข้อเท็จจริงว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

ข้อมูล/ภาพ : ไทยรัฐ