นายอธิป พีชานนท์ รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยถึงการดำเนินโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ของรัฐบาลว่า โดยภาพรวมโครงการดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเป็นลูกค้าคนละกลุ่มเป้าหมาย โดยโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” มุ่งเน้นช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายที่ดี
อย่างไรก็ดี เห็นว่า รัฐบาลควรต้องกำหนดคุณสมบัติ และเงื่อนไขของผู้ได้รับสิทธิด้วยความรอบคอบ สามารถคัดกรองสิทธิให้เฉพาะผู้มีรายได้น้อย และต้องมีมาตรการป้องกันการสวมสิทธิจากบุคคลอื่น ที่จะเข้ามาซื้อและนำไปขายต่อเพื่อเก็งกำไรด้วย เนื่องจากโครงการแต่ละแห่งอยู่ในทำเลที่ดีระดับพรีเมียม สามารถนำไปขายต่อได้ในราคาที่แพงกว่า และเชื่อว่าจะมีคนเข้ามายื่นขอรับสิทธิเป็นจำนวนมาก
“ไม่น่ากังวล เพราะคนละกลุ่มเป้าหมายกัน โครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” เป็นนโยบายที่ดี ช่วยเหลือคนที่ไม่มีโอกาสให้ได้มีที่อยู่อาศัยของตัวเอง เป็นประโยชน์ แต่รัฐต้องรอบคอบในการคัดกรอง ตรวจสอบ เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่มีรายได้ไม่เข้าตามเกณฑ์ หรือไม่ได้ต้องการอยู่อาศัยจริง แฝงตัวเข้ามาเก็งกำไร เพราะทำเลที่รัฐบาลประกาศนี้ ค่อนข้างพรีเมียม สามารถทำราคาที่อยู่อาศัยได้ในราคาสูงกว่านี้” นายอธิป กล่าว
พร้อมเสนอว่า รัฐบาลควรพิจารณาทบทวนหลักเกณ์เข้าร่วมโครงการ 1.ในเรื่องของระยะเวลาในการห้ามโอนสิทธิในโครงการบ้านเพื่อคนไทยที่กำหนดไว้ภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันจดทะเบียนรับสิทธิ์นั้น เป็นระยะเวลาที่สั้นเกินไปหรือไม่ 2.ควรกำหนดให้การโอนสิทธิ์ หรือขายต่อบ้านคืนให้กับหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น เพื่อให้รัฐบาลสามารถส่งต่อบ้านดังกล่าวกลับคืนไปยังผู้มีรายได้น้อยตามวัตถุประสงค์ของโครงการ และ 3. เกณฑ์รายได้ของผู้ได้รับสิทธิ์ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 50,000 /เดือนนั้น ควรปรับลดลงเหลือไม่เกิน 30,000บาท/เดือน เพราะมองว่าคนที่มีรายได้ระดับ 50,000 บาท /เดือนนั้น มีความสามารถในการซื้อบ้านได้เองอยู่แล้ว
ข้อมูล/ภาพ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ , ประชาชาติธุรกิจ
